ปีใหม่ทั้งที ต้องให้ของขวัญตัวเองด้วยการท่องโลกบ้างไรบ้างนะคะประเทศอิตาลีเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจว่าจะต้องไปเยือน (อีก) สักครั้ง เราเคยไปทัวร์แบบควบหลายประเทศในยุโรป แล้วก็ได้แวะประเทศนี้นิดๆ หน่อย แต่ครั้งนี้เราขอลุยประเทศเดียว เลยมาจบที่การซื้อทัวร์ในราคาที่เรารู้สึกว่าจับต้องได้ เราซื้อกับบริษัทสยามทราเวลมาร์ท ซึ่งเสนอราคาทัวร์มาในราคา 59,990 บาท โดยมีโปรแกรมเที่ยวสี่เมืองในประเทศอิตาลี คือ กรุงโรม ฟลอเรนซ์ เวนิส และ มิลาน ซึ่งเป็นเมืองที่เราอยากไปทั้งนั้นเลยค่ะ ราคาทัวร์รวมตั๋วเครื่องบินซึ่งบินกับสายการบิน Singapore Airlines และโรงแรมที่พักในสี่เมืองในอิตาลีด้วย จัดไปไม่รอช้า เราออกจากสุวรรณภูมิด้วยเที่ยวบิน SQ 713 ไปที่สิงคโปร์ แล้วไปต่อเครื่องกับเที่ยวบิน SQ 366 จากสิงคโปร์ไปลงสนามบิน Leonardo Da Vinci ซึ่งทั้งสองไฟลท์นี้บินด้วยเครื่องแอร์บัสแบบ A350-900 ชั้นประหยัดจัดที่นั่งแบบ 3-3-3 เราได้นั่งริมทางเดิน ทุกที่นั่งของเขาจะมีจอส่วนตัวให้เราได้เพลิดเพลินกับโปรแกรมหนัง และรายการทีวีมากมาย ขอบอกว่าหนังของสายการบินใหม่มากๆ หนังที่ยังไม่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราก็มีให้ดูแล้ว เพิ่งออกโรงไปหมาดๆ ก็มี อาหารเสริฟสองมื้อ รสชาติดี ลูกเรือบริการด้วยความคล่องแคล่วรวดเร็วทันใจ กัปตันขับขึ้นลงนุ่มมาก สื่อสารชัดเจน เราให้คะแนนสายการบินนี้เต็มสิบไม่หักเลย มาถึงกรุงโรม สิ่งที่เราตั้งใจจะมาดูให้ได้ก็คือสนามกีฬาโคลอสเซียม นี่แหละค่ะ อารมณ์กลาดิเอเตอร์พลุ่งพล่านเลยทีเดียว เป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าทึ่งอะไรเช่นนี้ สองพันกว่าปียังคงยืนหยัด สง่างาม ขนลุกมากเราไม่ได้แค่ถ่ายรูปด้านนอกนะคะ แต่ได้ตั๋วเข้ามาเดินชมด้านในเลย ปกติจะมีค่าตั๋ว 22 ยูโร ต้องต่อแถวซื้อแล้วเดินผ่านการตรวจรักษาความปลอดภัยเข้ามา แต่วันที่เราไปคือ เข้าฟรีค่ะทุกคน เพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่ กรี๊ดเลยค่ะ ไม่ยอมพลาดเราไปหน้าหนาว บ้านเขาจะมืดเร็วอย่างเห็นได้ชัด สี่โมงกว่าๆ คือมืดแล้ว น้ำพุเทรวี่ยามค่ำคืนก็จะประมาณนี้ค่ะ คืนแรกเราพักกันที่โรงแรม Pineta Palace Hotel ในชานเมืองโรม โรงแรมเก่าแล้ว กุญแจไขเข้าห้องพัก มาพร้อมพวงกุญแจทองเหลืองหนักอึ้ง ชนิดที่ว่าทำตกตรงไหน ได้ยินทั้งชั้นแน่นอน ฮา เช้าวันรุ่งขึ้น เราได้ไปที่ Leccio The Mall Outlet ซึ่งขาช้อปหรือใครที่นิยมสินค้าแบรนด์ดังทั้งหลายน่าจะได้ถูกใจ จับจ่ายใช้สอยกันค่ะ นอกจากแบรนด์อิตาลีแล้ว แบรนด์ coach ของอเมริกาและแบรนด์ดังชาติอื่นๆ ก็มีนะคะ ส่วนตัวไม่ได้ช้อปมากมาย หรือ ใครที่ไม่ปรารถนาการช้อปปิ้ง ภายใน Outlet มีร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนให้นั่งพัก เราเลยลองเข้าไปสั่งเมนูที่ชอบค่ะ คือ เพนเน่ซอสแดง แบบนี้ ราคา 8 ยูโร รสชาติได้อยู่ค่ะ ช้อปแล้ว อิ่มท้องแล้ว มุ่งหน้าสู่เมืองฟลอเรนซ์ ศูนย์กลางแห่งศิลปะยุค Renaissance ส่วนหนึ่งของวิหารที่จตุรัสเดลลาซิญญอเรีย ยามพลบค่ำ พอมืดสนิทมีการเล่นไฟแสดงเรื่องราวผ่าน projection บนตัววิหารด้วยนะคะปิดท้ายฟลอเรนซ์ด้วยวิวจากสะพานเวคคิโอ ที่สองข้างทางคราคร่ำไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านไอศกรีม ร้านอาหาร ร้านกระเป๋า เป็นเมืองที่ครึกครื้นและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากมายจริงๆ แวะพักที่โรงแรม Hotel Miro ที่ฟลอเรนซ์ค่ะ ห้องพักสะดวกสะบายมาก มีอ่างอาบน้ำ ชา กาแฟ กาต้มน้ำในห้องด้วย ขอรีวิวละเอียดในอีกบทความหนึ่งนะคะนอนเต็มอิ่ม ทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็มาถึงคิวของการเยือนหอเอนเมืองปิซ่าจ้า นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องมาถ่ายรูปนะคะ ไม่งั้นเหมือนจะมาไม่ถึงประเทศอิตาลี น่ารักตั้งแต่รถไฟโบราณที่นั่งเข้าไปแล้ว นี่นึกว่านั่งรถไฟในสวนสนุกหรือสวนสัตว์ ฮา ค่ารถคนละ 2 ยูโรนี่ก็เห่อ ถ่ายรูปตั้งแต่ระยะไกลนี่แหละค่ะ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าไป ใครอยากขึ้นไปข้างบนก็ซื้อตั๋วราคา 25 ยูโรขึ้นไปพิสูจน์ความเอียงกันได้จากจุดที่รถไฟโบราณจอดจนถึงทางเข้าหอเอนนั้น มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารเต็มสองข้างทางเลยค่ะ ส่วนมากเจ้าของร้านจะเป็นชาวบังคลาเทศหรือปากีสถาน ราคาสามารถต่อรองได้ ท่านใดอยากซื้อไปสการ์ดส่งกลับบ้าน มีแสตมป์จำหน่ายพร้อมส่งด้วยนะคะนอกจากอาหารจีนสองมื้อแล้ว โปรแกรมทัวร์นี้มีอาหารพื้นเมืองบริการรวมด้วยหนึ่งมื้อนะคะ มารับประทานมื้อค่ำกันที่ภัตตาคารหรูหรา เมนูสปาเก็ตตี้หมึกดำ หน้าตาอาจไม่สวย แต่รสชาติดีมากค่ะ แถมยังมีไก่ทอดและของหวาน อย่าง ทารามิสุ ด้วยก่อนจะเดินทางไปที่โรงแรม Smart Holiday Hotel ที่เวนิส ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือที่เราจะได้นั่งข้ามฟากไปเราได้นั่งเรือรอบเช้า 8:30 น ข้ามจากฝั่งแผ่นดินใหญ่มาเกาะเวนิส ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เป็นวันที่อากาศดีมากๆ เราเองหลงรักเวนิสตั้งแต่เห็นในหนังหลายเรื่อง เคยไปลอนดอน ก็ยังมีจุดที่นักท่องเที่ยวเรียกกันว่า Little Venice เมืองในฝรั่งเศสที่มีน้ำ มีสะพานบางเมืองก็มีการอวดว่า ที่นี่เปรียบเสมือนเวนิส คลองบ้านเราเอง ก็ยังได้สมญาว่า เวนิสแห่งตะวันออก แสดงว่า เวนิส ตัวจริงเสียงจริงก็ต้องสวยไม่บันยะบันยังจริงไหมคะ สวยน้ำใส ในตรอกซอกซอยวนไปจุดขายอย่างหนึ่งของที่นี่ คือ เรือแจวกอนโดลา หน้าตาประมาณนี้ค่ะ ลำหนึ่งโดยสารได้ 5 คน ราคา 100 ยูโร ถ้าแต้มบุญดีอาจเจอฝีพายหล่อ เอ๊ย ไม่ใช่ๆ คืออาจเจอลำที่นั่งสวยๆ ฝีพายใจดีที่จะร้องเพลงขับขานระหว่างที่แจวเรือพาเราเลาะเลี้ยวไปตามลำคลอง อย่างที่หลายท่านอาจทราบ คือ เมืองนี้ไม่มีรถยนต์วิ่ง เพราะฉะนั้น เดินช้อปกลางซอย ปากซอย ซอกซอยต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกลัวรถชน ร้านค้า ร้านแบรนด์เนมเต็มไปหมด สวนสาธารณะก็มีนะคะ ส่วนตัวเราให้คะแนนเมืองนี้ ล้านเต็มร้อยเลย ชอบมาก ถ้าเลือกได้ก็อยากกลับไปอีกค่ำนั้นเรานั่งเรือออกมาจากเวนิส แล้วนั่งรถบัสต่อไปมิลาน หลายชั่วโมงเพื่อแวะช้อปปิ้งที่ Galleria Vittorio Emmanuelle และถ่ายรูปกับวิหารที่มิลานก่อนกลับโรงแรมที่พักคืนสุดท้ายคือ Best Western Hotel ที่มิลาน ห้องพักสะดวกสบาย ทันสมัย แต่พีคตรงที่ต้องยกกระเป๋าขึ้นบันไดหน้าโรงแรมประมาณ 7-8 ขั้น อะไรคือการไม่มีทางลาดให้ลาก ขำไม่ออกแต่อาศัยว่าสมาชิกกลุ่มนี้มีหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ มีน้ำใจช่วยๆ กันวันรุ่งขึ้นก็มุ่งหน้าสนามบินมิลาโน มิแปนซ่า บิน SQ 377 จากมิลานไปสิงคโปร์ แล้วต่อด้วย SQ 708 สู่กรุงเทพฯ ตรงเวลาตามกำหนด ส่วนตัวรู้สึกว่าทริปนี้และราคานี้คุ้มมาก ทั้งสายการบิน โรงแรม อาหาร และ ไกด์ แถมเป็นการเดินทางในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ขึ้นชื่อว่าค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมจะสูงมากด้วย ไกด์เราชื่อคุณเล็ก มีประสบการณ์ทำทัวร์มาเกือบสามสิบปี ช่วยต่อรอง แก้ปัญหา ช่วยถ่ายรูปให้ และ ดูแลชาวคณะอย่างดีตลอดเส้นทาง มีค่าบริการไกด์อีก 2500 บาท ทางบริษัทดำเนินการขอวีซ่าเชงเก้น หาคิวให้เรียบร้อย โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 3400 บาท ซึ่งเป็นราคาจริงที่สถานฑูตเรียกเก็บใครที่อยากเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ สำเร็จรูป ไม่ต้องกางแผนที่ หรือ สรรหาโรงแรมและอาหารทานเอง เราแนะนำซื้อทัวร์แบบนี้ค่ะ โดยเฉพาะในอิตาลีซึ่งเราเองสื่อสารภาษาเขาไม่ได้ ใครที่ไม่สันทัดอาหารเช้าสไตล์ยุโรป ไกด์มีเตรียมมาม่าต้มยำกุ้ง หมูสับ น้ำพริกกะปิ และ น้ำพริกต่างๆ ไปให้ด้วยค่ะ ไม่ต้องหาซื้อหรือแบกไปภาพทุกภาพในบทความคือ ภาพที่เราถ่ายเองทั้งหมดค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านและแชร์กันนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”