เตรียมตัวมาเที่ยว งานวัด กรุงเทพ กันที่ งานภูเขาทอง 2568 หรือ ประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมมาสารีริกธาตุ องค์พระเจดีย์บรมบรรพต ที่ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดย งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ภูเขาทอง 2568 นี้ จัดขึ้นในตั้งแต่ วันที่ 29 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน 2568 เป็นเวลา 10 วัน 10 คืน กันเลยค่ะ
AlivePhoto / Shutterstock.com
เที่ยวงานภูเขาทอง 2568 วัดสระเกศ
งานวัด กรุงเทพ 10 วัน 10 คืน
งานภูเขาทอง นับเป็นหนึ่งใน งานวัด กรุงเทพฯ งานนหนึ่งที่ต้องไม่พลาดเลยค่ะในช่วงต้นหน้าหนาวแบบนี้ เพราะนอกจากจะได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมในงานแล้ว พุทธศาสนิกชนยังได้มีโอกาสสักการะบูชา พระเจดีย์บรมบรรพต ห่มผ้าแดง อันเป็นมงคลพิธีที่ ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เลยทีเดียว โดยใน ปี 2568 นี้ จัดกิจกรรมวัฒนธรรมแบบรูปแบบ 10 วัน 10 คืน ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน 2568 เวลา 07.00-24.00 น.

Inoprasom / Shutterstock.com
สำหรับในปีนี้ งานวัดภูเขาทอง 2568 จะจัดขึ้นในระหว่าง วันที่ 29 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน 2568 โดยมีแนวทางในการจัดงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ บรมบรรพต ดังนี้คือ
1. ในช่วง งานเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ประจำปีพุทธศักราช 2568 นี้ เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางมากราบไหว้สักการะบูชา พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งประดิษฐานอยู่บน พระเจดีย์ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) และกราบไหว้สักการะบูชาปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ พระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์สำคัญในพระอาราม วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ตามประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมา ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ถึงเวลา 24.00 น. เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย
2. เชิญชวนพุทธศาสนิกชน ลงนามถวายอาลัย แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรม ราชชนนีพันปีหลวง ณ ศาลาบำเพ็ญกุศล 2 วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ในเวลา 08.00 น. ถึงเวลา 24.00 น. ตลอดช่วงเวลางานเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุประจำปี
3. เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วม พิธีเจริญจิตภาวนา หลังทำวัตรค่ำเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย เป็นพระราชกุศล แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ณ ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ในเวลา 20.00 น. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
4. งดกิจกรรมภาคบันเทิงทั้งหมด ในบริเวณรอบบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
Sumeth anu / Shutterstock.com
- พิธีห่มผ้าแดง ถวายองค์พระเจดีย์บรมบรรพต (ภูเขาทอง) : วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เวลา 06.00 น.
ภายในงาน ขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยว สักการะพระบรมสารีริกธาตุ และ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ
- ต้นพระศรีมหาโพธิ์
- พระประธาน พระอุโบสถ วัดสระเกศ
- หลวงพ่อโต
- หลวงพ่อดำ วัดสระเกศ
- พระอัฏฐารส
- หลวงพ่อดุสิต
- คัมภีร์โบราณ 2,000 ปี
- พระพุทธมงคลบรมบรรพต หลวงพ่อดวงดี
- พระพุทธมงคลสุวรรณบรรพต หลวงพ่อโชคดี
Sumeth anu / Shutterstock.com
ประเพณีการห่มผ้าแดง
ประเพณีการห่มผ้าแดง นี้มีที่มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เล่ากันว่า หลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 3 พรรษา ทรงเสด็จไปโปรดเมืองเวสาลี ที่กำลังเดือดร้อนจากโจรผู้ร้ายเที่ยวเข่นฆ่าชาวเมือง
เมื่อเหตุร้ายนั้นหมดไป ชาวเมืองจึงพากันสรรเสริญพระองค์ แต่พระองค์ตรัสว่า ที่เป็นเช่นนี้มิใช่ความอัศจรรย์ แต่เป็นเพราะอานุภาพแห่งบุญบารมีที่พระองค์เคยนำผ้ามาประดับบูชาเจดีย์ในอดีตชาติ ซึ่งความเชื่อนี้ได้สืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน
ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงนำเอาผืนผ้าสีแดงมาห่มคลุมให้องค์พระเจดีย์ โดยหวังให้ชีวิตในชาติหน้าของตัวเองมีความสงบร่มเย็นเช่นกัน
ประเพณีการห่มผ้าแดง เป็นประเพณีเก่าแก่ตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สืบมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการจัดมานานกว่า 130 ปีแล้ว หลังได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้มีการจัด พิธีการห่มผ้าแดง ขึ้นทุกปีใน วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 จนถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังพิธีลอยกระทง รวม 10 วัน 10 คืน
พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนยอด เป็นเจดีย์บนภูเขาจำลอง โดยสร้างคล้ายพระเจดีย์วัดภูเขาทอง ที่ กรุงศรีอยุธยา
Sumeth anu / Shutterstock.com
ความหมายของการห่มผ้าสีแดง
ความหมายของการห่มผ้าสีแดงให้กับ องค์พระบรมสารีริกธาตุ ภูเขาทอง เนื่องจากสีแดงตามความเชื่อโบราณคือ สีแห่งความเป็นมงคล นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่า ผู้ที่เขียนชื่อ และนามสกุล ลงบนผ้าสีแดงแล้วนำผ้านั้นไปห่มพระบรมสารีริกธาตุก็จะได้รับความเป็นสิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้า แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย
และมีความเชื่อว่า การได้ห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์บรมบรรพต จะสร้างอานุภาพแห่งการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายนานาประการ
คำถวายผ้าแดงบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
(ว่า นะโม ๓ จบ)
อิมานิ มะยัง ภันเต รัตตะวัตถานิ สะปะริวารานิ สารีริกะธาตุ ปูชนัตถายะ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ รัตตะวัตถานิ สะปะริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ
คำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ,ข้าพเจ้าทั้งหลาย,ขอน้อมถวาย,ผ้าแดง, พร้อมทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้, แก่พระสงฆ์,เพื่อบูชา, ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุ,ขอพระสงฆ์จงรับ, ผ้าแดง, พร้อมทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้,ของข้าพเจ้าทั้งหลาย,เพื่อประโยชน์,เพื่อความสุข,แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย,ตลอดกาลนาน เทอญฯ
9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัดสระเกศ
1. พระพุทธเจ้าน้อย ต้นโพธิ์ลังกาพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์
รูปเหมือนสมเด็จ พระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ
ลานโพธิ์ลังกา เป็นสถานที่รวม 3 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของพระอาราม ประกอบด้วย
ต้นโพธิ์ลังกา Bodhi Lanka
ต้นโพธิ์ หรือ ต้นอัสสัตถพฤกษ์ พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอาจารย์ดี และพระอาจารย์เทพ หัวหน้าสมณทูตจากวัดสระเกศ ซึ่งรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้ไปสืบพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกาเป็นเวลา 3 ปี เมื่อกลับมาได้นำต้นกล้าซึ่งเป็น หน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากเมืองอนุราธบุรี มาถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2353
พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่ วัดสระเกศ หนึ่งต้น อีกสองต้นโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่ วัดสุทัศน์ และวัดมหาธาตุ พระศรีมหาโพธิ์คงเจริญงอกงามเป็นร่มเงาถึงทุกวันนี้ การที่เราได้แสดงความเคารพ ถวายสักการะต้นโพธิ์ เปรียบเสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและซึมซับพระธรรมคำสั่งสอนมาสู่ชีวิต เพื่อให้เกิดสันติสุขภายในใจของผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ท่ามกลางความสงบร่มเย็นที่ท่านจะสัมผัสได้เมื่ออยู่ใต้ร่มโพธิ์แห่งนี้
พระพุทธเจ้าน้อย
แสดงถึงความเป็นหนึ่งในโลก ความเป็นยอดคนในโลก และความเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก พระพุทธเจ้าน้อย ประดิษฐาน ณ ลานโพธิ์ลังกา เป็น 1 ใน 3 พระพุทธเจ้าปางประสูติ ที่หล่อขึ้นเพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
โดยได้อัญเชิญอีก 1 องค์มาประดิษฐานที่ลานโพธิ์ลังกา ด้านหน้าพระอุโบสถวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงการบูรณะเส้นทางแสวงบุญสู่ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพุทธเจ้า
สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ
อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระมหาเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์ความทรงจำพระพุทธศาสนาโลก
หากเอ่ยนามพระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบแห่งสงฆ์ที่พุทธบริษัทปรารถนาจะได้พบเห็น ซึ่งเป็นหนึ่งในทัสนานุตริยะที่เป็นมงคลยิ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นพระมหาเถระที่ได้รับการกล่าวนามถึงมากที่สุดรูปหนึ่งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย ทั้งนี้ ก็ด้วยใบหน้าที่เปิดยิ้ม ฉายแววแห่งความเมตตา ทักทายผู้คนทุกชนชั้นที่พบเห็น นอกจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังเป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานแนวคิดนำพระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ และนำพระพุทธศาสนาขจรขจายไปก้องโลก เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นองค์ปฐมผู้ก่อตั้งสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ทำให้วัดไทยเกิดขึ้นทุกมุมโลก ปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
- ขอความเป็นหนึ่งขอพระพุทธเจ้าน้อย
- ขอวิสัยทัศน์ขอหลวงพ่อสมเด็จฯ
- ขอความสำเร็จ ขอต้นพระศรีมหาโพธิ์
2. พระพุทธมงคลชินสีห์วชิรมุนี
พระประธานประจำพระอุโบสถวัดสระเกศ
พระพุทธลักษณะของพระประธาน เป็น พระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งไม่ค่อยพบมากนักในงานช่างไทยสมัยเดียวกัน ลักษณะโดยรวมใกล้เคียงกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยา จึงแสดงให้เห็นถึงงานที่สืบต่อมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย ตรงตามประวัติที่กล่าวว่า รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพอกทับพระประธานองค์เดิม ลักษณะดังกล่าวเป็นงานช่างที่ต่างจากงานช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งจะมีพระพักตร์อย่างหุ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ลักษณะของพระพุทธรูปประธานประจำพระอุโบสถวัดสระเกศ มีพระพักตร์ค่อนข้างสี่เหลี่ยมแบบอยุธยา ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระโอษฐ์กว้างแบบอยุธยา ลักษณะชายสังฆาฏิที่ซ้อนทับกันแบบเดียวกับพระพุทธรูปอยุธยาตอนปลาย ในสมัยของ พระเจ้าปราสาททอง มีส่วนที่แตกต่าง คือ ในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมทำสังฆาฏิพาดกึ่งกลางพระวรกาย ในขณะที่พระพุทธรูปสมัยอื่นๆ นั้น ชายสังฆาฏิจะอยู่ทางเบื้องซ้าย
สำหรับฝาผนังภายในพระอุโบสถระหว่างซุ้มหน้าต่างเป็น ภาพทศชาติ ด้านบนเป็น ภาพเทวดา และท้าวจตุโลกบาล ส่วนด้านหน้าเป็น ภาพมารวิชัย ด้านหลังพระประธานเป็น ภาพไตรภูมิ คือ ภาพสวรรค์ มนุษย์ และนรก
- ขอความเป็นใหญ่ขอการเริ่มต้นที่ดี ขอหลวงพ่อพระประธาน
3. พระอัฏฐารส และ หลวงพ่อดุสิต
มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น คาดว่า มีอายุร่วม 700 ปี เป็น ประพุทธรูปยืนที่มีความสูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีความสูงถึง 5 วา 1 ศอก 10 นิ้ว (21 ศอก 1 นิ้ว) หล่อด้วย ทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ โดยไม่มีการเชื่อมต่อ นับว่าเป็นการหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย
เดิมประดิษฐานอยู่ วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก วัดประจำพระราชวังจันทน์ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อมา รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ พระวิหาร วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันพระอัฏฐารสเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะองค์สุดท้ายของกรุงสุโขทัยที่คงหลงเหลืออยู่
ในวันที่ 15 เมษายน ของทุกปี พระวิหารพระอัฏฐารส ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ บทมหาสมัยสูตร เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์แจกจ่ายให้ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของวัดสระเกศที่สืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จนถึงปัจจุบัน
หลวงพ่อดุสิต
มีประวัติว่า เดิมเป็นพระประธานประจำ พระอุโบสถ วัดดุสิต มาก่อน วัดดุสิต นั้น แต่เดิมตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชวังดุสิต อยู่ใกล้กันกับ วัดแหลม หรือ วัดเบญจมบพิตร
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสร้าง พระราชวังดุสิต และ สวนดุสิต จำต้องขยายบริเวณเกินเนื้อที่วัดทั้งสองวัด จึงทรงพระราชปรารภสร้างวัดชดใช้วัดทั้งสองขึ้นวัดหนึ่ง คือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แล้วจึงได้โปรดฯ ให้อัญเชิญพระประธานในพระอุโบสถวัดดุสิตไปประดิษฐานอยู่ในห้องด้านหลังพระวิหารพระอัฏฐารส ซึ่งว่างอยู่ ภายหลังเรียกกันว่า "หลวงพ่อดุสิต" ประดิษฐานอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้
- ขอลูก ขอหลวงพ่อพระอัฏฐารส
- ขอความสุขความยุติธรรม ขอหลวงพ่อดุสิต
4. คัมภีร์โบราณ ๒,๐๐๐ ปี
พระธรรมเจดีย์ นี้มีการขุดค้นพบใน ถ้ำเทือกเขาบาบิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน บนเส้นทางสายไหม ซึ่งสมัยพุทธกาล เรียกว่า "แคว้นคันธาระ" อันเป็นแคว้นต้นกำเนิดพระพุทธรูปยุคแรกของโลก โดยพระคัมภีร์ดังกล่าวได้รับการยืนยันว่า เป็นผลงานจารึกของเหล่าพระอรหันตสาวก ในราวพุทธศตวรรษที่ 6 หรือประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว
ได้ทำการจารึกลงบนใบลาน เปลือกไม้ หนังสัตว์ และแผ่นทองเหลือง ด้วยอักษร "พราหมีโบราณ" ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้ในสมัยพุทธกาลหรือหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งนี้ สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้พระคัมภีร์ชุดแรกมาจากผู้ค้าของเก่า ซึ่งถูกลักลอบขนย้ายออกจากหุบเขาบาบิยัน และแตกหักเล็กน้อยไว้ได้ประมาณ 5,000 ชิ้น และชิ้นส่วนเล็กๆ อีกประมาณ 8,000 ชิ้น ซึ่งนักโบราณคดี นักภาษาศาสตร์ จากนานาชาติได้ร่วมกันชำระเป็นเวลา 12 ปี จึงทำให้ทราบแน่ชัดว่า พระคัมภีร์โบราณนั้น คือ "พระไตรปิฎก" นั่นเอง
ในปี พ.ศ.2554 สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนได้มอบชิ้นส่วนคัมภีร์โบราณ จำนวน 2 ชิ้น แก่วัดสระเกศ โดยชิ้นส่วนคัมภีร์นี้ทำมาจากใบลาน ความยาวประมาณ 4 เซ็นติเมตร มีรายละเอียดระบุถึงโพธิสัตว์ปิฎกสูตร ชิ้นส่วน "คัมภีร์โบราณ" เหล่านี้คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแม้กาลเวลาจะล่วงมาเกิน 2,000 ปี แต่แนวทางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายังคงได้รับการรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเหมือนครั้งที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่
ทางวัดได้สร้าง พิพิธภัณฑ์จำลองถ้ำบามิยัน บริเวณทางขึ้นภูเขาทอง เพื่อประดิษฐาน คัมภีร์พระพุทธศาสนาโบราณ ขึ้นเป็นการเฉพาะ รวมถึงองค์พระพุทธรูปแห่งบามิยัน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้าชมได้รู้ถึงที่มาของคัมภีร์พระพุทธศาสนาโบราณด้วย
- ขอความมั่นคง ขอความมั่งคั่ง ขอหลวงพ่อบามิยัน
5. หลวงพ่อดำ
พระพุทธรูปหลวงพ่อดำ เป็นพระปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 4 ศอก ฝีมือช่างปั้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น พระพุทธรูปที่สร้างคู่กับพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) มาแต่ต้น เล่ากันว่าสร้างไว้เพื่อให้เจ้านาย และพุทธบริษัททั่วไป ที่ไม่สามารถขึ้นไปสักการะด้านบนองค์พระบรมบรรพตได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้แทน
ส่วนที่เรียกว่า "หลวงพ่อดำ" เพราะแต่เดิมลงรักสีดำไว้แล้วไม่ได้ปิดทอง จึงกลายเป็นพระพุทธรูปสีดำ แต่ภายหลังได้มีการบูรณะปิดทององค์หลวงพ่อและสร้างวิหารใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัด จนมีความสวยงามดังที่เห็นในปัจจุบัน
- ขอโชคลาภขอความรัก ขอหลวงพ่อดำ
6. หลวงพ่อดวงดี
มีพระนามเต็มว่า "พระพุทธมงคลบรมบรรพต" เป็น พระพุทธรูปปางสมาธิ หรือ ปางตรัสรู้ มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์แห่งพุทธศตวรรษที่ 26 มีความงดงาม โดดเด่น ด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หล่อขึ้นจากแผ่นดวงมหาโภคทรัพย์ที่บรรจุอยู่บนยอดพระบรมบรรพต ภูเขาทอง
ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ
นอกจากนั้น ที่ศาลาหลวงพ่อหลวงดี ยังเป็นที่ประดิษฐานประติมากรรมและรูปหล่อ ตลอดจนจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และจิตรกรรมฝาผนังไตรภูมิจักรวาล และจิตรกรรมฝาผนังแสนโกฏิจักรวาล อันวิจิตรงดงาม มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อดวงดีว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา จะมีดวงชะตาที่ดี เป็นที่รักของมิตรสหาย ปลอดภัยจากอุปสรรคนานาประการ
- ขอดวงชะตาราศีที่ดี ขอหลวงพ่อดวงดี
7. หลวงพ่อโชคดี
มีพระนามเต็มว่า "พระพุทธมงคลสุวรรณบรรพต" เป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือ ปางชนะมาร ขนาด 39 นิ้ว มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์ มีความโดดเด่นด้วยพระเกศมีลักษณะเปลวเพลิง หล่อด้วยเงิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีความงดงามด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้ายที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นประธานเททองหล่อ และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสุวรรณบรรพต วัดสระเกศ
ด้านหลังพระประธาน มีจิตรกรรมฝาผนังต้นดอกมณฑาทิพย์ ประตููมณฑาทิพย์โปรยฟ้า ประตูพฤกษาภิรมย์ และพญานาค 4 ตระกูล มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อโชคดีว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา ย่อมมีแต่ความโชคดี ประสบสมหวังดังใจปรารถนาทุกประการ
- ขอความสมหวัง ขอความมีโชค ขอหลวงพ่อโชคดี
8. หลวงพ่อโต
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปหล่อ ปิดทอง ในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าตักกว้าง 7 ศอก 1 คืบ ส่วนสูง 10 ศอก นับว่าเป็น พระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่มีขนาดใหญ่ และมีความสำคัญมากองค์หนึ่ง เพราะการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั่วไปในสมัยก่อนมักจะปั้นด้วยปูนมากกว่า ส่วนที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อโต" ก็คงเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นเอง
เดิมพระพุทธรูปองค์นี้ รัชกาลที่ 3 โปรดให้หล่อประดิษฐานไว้ริมคลองมหานาค ในสมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ญาโณทยมหาเถระ ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ทรงดำริที่จะนำหลวงพ่อโตเข้ามาประดิษฐานที่เชิงบรมบรรพต (ภูเขาทอง) เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นปูชนียวัตถุสำคัญซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้าง
เมื่อพระราชดำรินี้ได้ทราบถึง ดร.บุญรอด บิณฑสันต์ และคุณหลวงสัมฤทธิวิศวกรรม (โกศล สุขประยูร) จึงได้สละทรัพย์เป็นค่าก่อสร้างฐานรองรับใหม่ ด้วย ดร.บุญรอด ในสมัยเด็กฟื้นจากความตายได้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต ทางครอบครัวจึงมีศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อโตนี้มาก ต่อมาทางวัดได้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่เพื่อให้เหมาะสมและสะดวกแก่ผู้ที่มาสักการะ
- ขอสุขภาพแข็งแรง ขอหลวงพ่อโต
9. พระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อปีพุทธศักราช 2441 มิสเตอร์ วิลเลี่ยม แคลกตัน เปปเป ชาวอังกฤษ ได้ขุดพบ อิฐธาตุในพระสถูป ณ ที่ใกล้ตำบลปิปราหวะ ตั้งอยู่ปลายชายแดนเนปาล คือ เมืองกบิลพัสดุ์ มีอักษรเมาริยะที่เก่าแก่จารึกบนผอบเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย บอกว่าเป็น พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า คือ ส่วนที่กษัตริย์ศากยราช ในกรุงกบิลพัสดุ์ได้รับแบ่งปันในเวลาที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
ขณะนั้นมาเครสเคอสันเป็นอุปราชครองอินเดียอยู่ แต่ก่อนเคยอยู่ที่กรุงเทพฯ มีความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรารภว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกอยู่ในโลกเวลานั้น ก็มีแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์เดียว จึงมีความประสงค์จะถวายพระบรมสารีริกธาตุนั้นแด่พระองค์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุมเปรียญ) แต่ครั้งยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต เป็นผู้แทนกรุงสยามไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุนั้น และครั้งนั้น ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ คือ ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และประเทศไซบีเรีย เป็นต้น ต่างก็ได้ส่งทูตเข้ามาทูลขอพระบรมสารีริกธาตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไปตามประสงค์
พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือโปรดสร้างพระเจดีย์ทองสัมฤทธิ์เป็นที่บรรจุ แล้วโปรดให้ประกอบพระราชพิธีบรรจุในพระเจดีย์บนยอดพระบรมบรรพต และจัดงานเฉลิมฉลองเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จนเกิดเป็นที่มาของการจัดงานประเพณีประจำปี "งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ" หรืองานวัดภูเขาทอง ปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน