ช่วงปลายเดือนธันวาคม ของปี 2561 ครอบครัวของผมได้เดินทางไปเที่ยวพักผ่อนที่ จังหวัดเชียงใหม่ จุดหมายหลักของทริปการเดินทางในครั้งนี้คือการได้ไปเที่ยว ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งก็คือ ดอยอินทนนท์ นั่นเองวันเริ่มออกเดินทางของทริปนี้คือช่วงเย็นของวันที่ 22 ธ.ค 61 จากบ้านของผมที่กรุงเทพถึงจังหวัดตาก ระหว่างทางผมมีหน้าที่คือคอยบอกทางจาก Gps ให้พ่อจนถึงจุดหมาย ระหว่างทางในการขับรถ ได้ผ่านหลายจังหวัดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์กำแพงเพชร ตามถนนหมายเลข 32 หรือที่คุ้นกันดีในชื่อ "สายเอเชีย" เวลากว่า 5 ชั่วโมง ในการขับรถ ในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงที่พัก คือ ตากอันดามัน รีสอร์ท หลังจากนั้นครอบครัวผมก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เข้านอน เพื่อพร้อมที่จะตื่นขึ้นมาเดินทางต่อไปยังจังหวัดเชียงใหม่ในวันรุ่งขึ้น ดอกบัว ในโอ่งหน้าที่พักในยามเช้าตรู่อรุณสวัสดิ์ เช้าวันที่ 23 ธ.ค 2561 วันนี้ครอบครัวผมตกลงกันที่จะไปกินข้าวเช้าในตัวเมืองของจังหวัดตาก จึงรีบออกเดินทางจากที่พักตั้งแต่เช้า หลังจากขับรถวนอยู่เมืองสักพัก ก็เหลือบไปเห็นร้านขายโจ๊ก ทุกคนได้เห็นพ้องต้องกันที่จะตกลงกินโจ๊กเป็นมื้อเช้าของวันนี้ ร้านตั้งอยู่ริมถนนที่มีฝั่งตรงข้ามเป็นแม่น้ำปิง มองไปจะเห็นสะพานแขวนสีเหลืองตั้งตระหง่านอยู่ บรรยากาศยามเช้ากับโจ๊กร้อนๆ ทำให้มื้อเช้านี้เป็นมื้อที่แสนพิเศษเมื่อกินข้าวเสร็จ ครอบครัวผมจึงมุ่งหน้าขับรถไปที่จังหวัดเชียงใหม่ สองข้างทางเริ่มเห็นภูเขา เส้นทางบางช่วงขับผ่านภูเขา ถนนหนทางเริ่มมีความคดเคี้ยว เวลาเที่ยงครอบครัวของผมก็ได้เดินทางมาถึง อ.เมือง เชียงใหม่ ผมรู้สึกตื่นเต้น และมีความสุขมากที่ได้เห็นบ้านเมือง วัดวาอาราม โบราณสถานที่ยังคงความดั้งเดิมของอาณาจักรล้านนา ที่ปรากฎได้ทั่วไปในเมืองเชียงใหม่นี้ พ่อของผมได้บอกให้ผมลองเสริช์ค้นหาร้านอาหารใน กูเกิล ผมเลื่อนไปเจอในเว็ปไซต์ ว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่น ที่อร่อย และ ถูกมาก ชื่อว่าร้าน "โกฮังเต" พ่อผมจึงขับรถไปที่ร้าน ร้านนี้เป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ตะ้งอยู่ในซอยสันติธรรม มองเข้าไปผมเห็นคนญี่ปุ่นทานกันอยู่ ผมจึงคิดเอาเองว่าร้านนี้ต้องอร่อยสมคำล่ำลือแน่นอน เพราะว่าคนญี่ปุ่นเลือกมากินที่นี่ เมนุที่ผมสั่งคือ ข้าวปลาแซลมอนย่างเกลือ เมื่ออาหารมาเสริฟ์ ผมจึงรีบกินอย่างไม่รอช้า เมื่อกินแล้วผมจึงคิดว่า "ไม่ผิดจริงๆที่เลือกมากินที่นี่"หลังจากอิ่มหน่ำสำราญกับมื้อเที่ยง สถานที่ต่อไปที่ได้เดินทางไปคือ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์อันเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก และยังเป็นวัดที่มีพระธาตุประจำปีมะโรงอีกด้วย ภายในวัดบรรยากาศสงบร่มเย็น ลวดลายจิตรกรรมมีความสวยสดงดงามมาก ผมรู้สึกอึ้งในความสวยงามของสถาปัตยกรรมล้านนาที่มีความวิจิตรตระการตาถึงเพียงนี้ มีพุทธศาสนิกชนแวะเวียนมาสักการะบูชา รวมถึงยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวชมมากมาย ลวดลายแกะสลักบนวิหารลายคำ ช่อฟ้า หลังจากนั้นผมและครอบครัวจึงเดินเข้าไปในพระวิหารลายคำ ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธสีหิงค์ เมื่อได้กราบไหว้บูชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอันสมควรที่จะเดินทางไปยังไปยังที่พักที่ "หมู่บ้านแม่กลางหลวง" โดยใช้เวลาจากตัวเมืองประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างที่พ่อผมกำลังขับรถผมได้มองเห็นวิวทิวทัศน์ดอยสุเทพที่ตั้งตระหง่านทอดยาวไปกับถนน สองข้างทางมีทุ่งนา และ สวนลำไย เมื่อถึงอำเภอจอมทองก็จะเจอแยกที่จะต้องเลี้ยวไปยังอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หลังจากที่เลี้ยวเข้ามา ถนนพื้นราบที่มีโค้งไม่มากเปลี่ยนเป็นถนนลาดชันและคดเคี้ยว เริ่มมีฝ้าขึ้นเต็มกระจกรถ และ อากาศหนาวเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ครอบครัวผมได้เดินมาถึงยังหมู่บ้านแม่กลางหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่พัก "อินทนนท์ คีรีมายา" ที่ครอบครัวผมจะพักผ่อนในคืนนี้ บ้านพักเป็นบ้านไม้ติดลำธาร ข้างในไม่มีแอร์ แต่เมื่อมาถึงจริงๆ พูดได้เลยว่า อากาศแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีแอร์ และข้างในบ้านพักมีมุ้งสำหรับกันยุงในช่วงหน้าฝนที่มียุงชุกชุม เมื่อเก็บข้าวเก็บของเสร็จทุกคนก็เข้านอน และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "อากาศหนาวมาก" ในคืนนั้นมีเสียงลำธารเป็นเสียงกล่อมให้นอนหลับ ครอกฟี่......เช้าวันต่อมา 24 ธ.ค 2561วันนี้เป็นวันที่ทุกคนต้องรีบตื่นแต่เช้า เพื่อเดินทางไปชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เมื่อก้าวเท้ามาจากประตูบ้านพัก ควันก็ออกปากทันที ทุกคนจึงรีบขึ้นรถเพราะว่าข้างในรถนั้นอุ่นกว่า รถออกจากหมู่บ้าน เลี่ยวซ้ายมุ่งสู้ทางขึ้นไปยังยอดดอยอินทนนท์ เส้นขับผ่านบ้านม้งขุนกลาง ถนนลาดชันขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงกิ่วแม่ปาน สองข้างทางมองเห็นต้นไม้ที่ดูแปลกตา จากความสูงจากระดับน้ำทะเลที่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงลานจอดรถกิ่วแม่ปาน พบว่ามีคนมาจอดรถกันเนืองแน่น ผมและครอบครัวลงจากรถเพื่อไปต่อคิวลงทะเบียนเพื่อเข้าไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน อากาศจากในจอวัดอุณหภูมิเขียนว่าอุณหภูมิอยู่ 6 องศาเซลเซียส โดยทุกคนที่มาจะต้องมีไกด์นำทาง ไกด์นำทางของกลุ่มเราเป็นชาวม้งที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ ที่มีหมู่บ้านชาวเขาตั้งอยู่มากมาย บนพื้นมีการจัดวาง "ไม้เท้า" สำหรับทุ่นแรงในการเดินเท้า ระยะทางการเดินศึกษาธรรมชาติของกิ่วแม่ปานนั้นอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลเมตร ผมและครอบครัวได้เดินตามไกด์ที่แลดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยแม่แต่น้อย คอยบอกความสำคัญของสถานที่แต่ละจุดได้อย่างแม่นยำ พืชพรรณตามทางที่พบเห็นจะเป็นพืชเมืองหนาว ป่าที่เรียกว่าป่าเมฆ คือ ป่าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหลายเดือน อากาศหนาวชื้น ลมแรง เมื่อเดินมาราวๆ 40 นาที ก็จะพ้นเขตป่าเมฆ เข้าสู่จุดที่เรียกว่า ทุ่งหญ้าเมืองหนาวภาพที่เห็นทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจมาก ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินมาก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทุ่งหญ้าเมืองหนาวพัดพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดแรงเข้ามา ดูสวยงามมาก นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาต่างกดชัตเตอร์กันไฟแลบ วิวทิวทัศน์มองได้ไกลจนสุดสายตา มองเห็นอำเภอแม่แจ่ม และป่าต้นน้ำโดยรอบ กูดเกี๊ยะ ป้ายคำอธิบายที่จัดทำโดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่าหลังจากที่เดินชมวิวอย่างเพลิดเพลินไม่นานก็มาถึงจุดชมทิวทัศน์ เป็นพื้นที่โล่ง มีระเบียงยื่นออก วันนี้โชคดีมากที่ได้เห็นทะเลหมอก เพราะว่าในบางวันก็ฟ้าปิด หรืออาจจะไม่มีทะเลหมอกเลย ไกด์ของเรานั่งรอ ให้พวกเราได้มีเวลาถ่ายรูป ดื่มด่ำกับของขวัญจากธรรมชาติที่สวยงาม แสงแดดอุ่นๆที่ทอส่องมาทำให้เราไม่รู้หนาวเหมือนกับช่วงเช้า กลับเป็นรู้สึกเย็นสบายแทน อากาศที่นี่บริสุทธิ์มาก ระเบียงยื่นชมทิวทัศน์ เมื่อได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกนิดคิดว่าเราควรรักษาป่าไม้ ธรรมชาติที่สวยงามเช่นนี้ให้คงอยู่ต่อไป ป่าต้นน้ำที่คอยหล่อเลี้ยง สัตว์น้อยใหญ่รวมถึงมนุษย์อย่างเรา ใยเราจึงไม่รู้สึกหวงแหนและคิดจะอนุรักษ์ไว้เล่า ไกด์ของเราที่นั่งรออยู่ ได้ยินเสียงร้องเรียกจากกลุ่มเรา จึงรีบมาทำหน้าที่ต่อ หลังจากนี้เส้นทางเป็นทางเดินเลียบสันเขา ฝั่งซ้ายจะเป้นพุ่มไม้ใหญ่ส่วนฝั่งขวา คือ หน้าผาที่เป็นที่อยู่อาศัยของ กวางผา ซึ่งถือเป็นสัตว์สงวนที่พบเจอได้ยาก เนื่องจากใกล้สูญพันธ์ จากจุดชมทิวทัศน์ เดินลัดเลาะชมธรรมชาติมาสักพัก ก็จะถึงจุดชมวิวผาแง่มน้อย ป้ายคำอธิบายที่จัดทำโดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่า กิ่วแม่ปานสันผาแคบสองมุมบนสันเขา " "กิ่ว" ในภาษาเหนือมีความหมายว่า "แคบ " ต่อมาจะถึงจุดชมกุหลาบพันปี ที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ริมหน้าผา ซึ่งผมและครอบครัวได้เดินทางมาถือเป็นช่วงที่ดอกกุหลาบพันปีกำลังออกดอกสะพรั่ง แต่ว่าอยู่ไกลออกไปทางริมหน้าผา ไกด์นำทางบอกว่ามีดอกที่อยู่ชิดริมทางเดินโดนนักท่องเที่ยวเก็บไป เพราะไม่นานนี้เขายังเดินผ่านแล้วเห็น ไกด์ยังบอกอีกว่า ไกด์ทุกคนพยายามบอกกับนักท่องเที่ยวแล้วแต่ก็ยังมีคนมักง่ายเช่นนี้อยู่ รูปภาพอาจไม่ชัด เนื่องจากการซูมกล้อง ป้ายคำอธิบายที่จัดทำโดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่า จากจุดชมกุหลาบพันปี เดินต่อมาสักครู่หนึ่ง ก็จะถึงจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นพระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริได้และหลังจากนั้นเส้นทางก็กลับเข้าสู่เขตของป่าเมฆ ตามโคนต้นไม้จะมีมอสเกาะอยู่ มีเฟิร์นนานาชนิด เช่น เฟิร์นกูดต้น เวลาตอนนี้เป็นเวลา 10 โมง อากาศที่หนาวในช่วงเช้า แปรเปลี่ยนมาเป็นร้อนจนต้องถอดเสื้อหนาวชั้นที่ 2 ออกมา ทางช่วงสุดท้ายเป็นทางในป่า มีเส้นทางขึ้นๆลงๆ ข้ามสะพาน ข้ามลำธารของป่าต้นน้ำ ที่ในน้ำมีแร่อันอุดม ไม่นานนักก็เดินทางออกมาจนถึงปากทางเข้าที่ได้เดินเข้ามา เพราะว่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานเป็นเส้นทางวน สุดท้ายก็ต้องมาบรรจบกันที่ลานจอดรถ ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิต กิ่วแม่ปาน เมื่อเเดินออกมาจากกิ่วแม่ปาน เราเลือกที่จะฝากท้องไว้กับร้านอาหารที่อยู่บริเวณลานจอดรถ ซึ่งผมลืมชื่อ 555 เมื่อทุกคนกินข้าว พักแข้งพักขา เรียบร้อยแล้ว จึงถึงเวลาที่จะเดินทางไปยัง ยอดดอยอินทนนท์ จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย จากกิ่วแม่ปานต้องนั่งรถไปอีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงลานจอดรถบริเวณยอดดอย เดินเข้าไปอีกไม่ไกลนักก็ถึงป้ายที่ทุกคนต้องแวะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จุดที่สูงสุดในประเทศไทยจริงๆ ยังไม่ใช่จุดป้ายสูงสุดแดนสยาม แต่คือ หมุดหลักฐานจุดสูงสุดแดนสยาม 2565.3341 เมตร ซึ่งต้องเดินเลยมาเล็กน้อย ความทรงจำในช่วงเวลาวันหยุดปีใหม่ที่ได้ไปพักผ่อน ได้ไปท่องเที่ยว ได้ไปพบกับธรรมชาติที่สวยงาม ภาพจำเหล่านี้ยังติดตรึงอยู่ในใจของผม เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทุกเมื่อที่ได้นึกย้อนหวนถึงช่วงเวลาที่ดีนั้นภายในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามอีกหลายแห่ง ให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมเยือน ในวันนี้ผมขอเขียนเล่าเรื่องราวเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ด้วยรัก สวัสดีเรื่องและภาพ โดย ณรงค์กร เรียบเลิศหิรัญ