ไม่น่าเชื่อว่าเราจะอยู่กับโควิดมาปีกว่าๆ แล้วนะคะทุกคน และก็รู้สึกแอบเศร้าใจเล็กน้อยที่เราไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวไปที่ไกลๆ เกือบ 2 ปีแล้ว หลายคนคงรู้สึกคิดถึงการเดินทางไปที่ห่างไกล ที่ที่ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คน ภาษา วัฒธรรม วิถีชีวิต ต่างๆ นานา ช่วงเวลาที่เราได้ไปที่แบบนั้นมันดีแบบแปลกๆ มากเลยเนอะ และด้วยเหตุแห่งความคิดถึงการเดินทาง วันนี้เราเลยจะเอาความทรงจำจากการเดินทางมาแชร์ จะพากลับไปย้อนนึกถึงการเดินขึ้นเขาหิมะที่ Rybi Potok Valley ในอุทยานแห่งชาติตาตร้า ประเทศโปแลนด์ จุดหมายของเราคือ มอร์สกี้โอโกะ (Morskie Oko) ทะเลสาบที่อยู่บนหุบเขานั่นเองฮะ เขาบอกว่าที่นี่เป็น stock of fish (โดยเฉพาะปลาเทราซ์) ซึ่งชื่อ Morskie oko ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Sea Eye หรือ Eye of the sea หรือดวงตาแห่งทะเล รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาตอนที่ได้ยินว่า ทะเลสาบนี้มีจุดเชื่อมกับทะเลผ่านทางการไหลของน้ำใต้ดิน (ทะเลสาบกลางเขาสีเขียว ๆ นั่นคือที่ที่เราจะไป แต่ช่วงเดือนธันวาคมที่เราไปถึงมันกลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้วฮะ) การเดินทางของเราเริ่มจากนั่งรถบัสที่ บขส. เมืองคราครูฟ รอบ 07.10 น. (ตอนมาขึ้นรถยังมืดอยู่เลย) มาถึงซาโคปาเน่เกือบ 10 โมง บนรถมีเรากับน้องสาวเป็นคนไทยแค่ 2 คน ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น มีคุณตากับคุณยายวัยเกษียณนั่งมาด้วย แอบแปลกใจนิดนึงว่าคนที่เขาชอบการเดินเขาหน้าหนาวกันเหรอ (ลืมบอกว่าช่วงที่เราไปเป็นช่วงหยุดคริสต์มาสด้วยนะคะ คนที่นี่เขาเลยออกมาท่องเที่ยวกัน) ระหว่างนั่งรถมาก็เห็นวิวแบบนี้...โห นั่นมันหิมะสุดลูกหูลูกตา ไอ้ฉากหิมะที่เราเคยเห็นในหนัง Fargo กับ Hateful Eight มันเป็นแบบนี้นี่เอง พอมาถึง Zakopane บรรยากาศจะเหมือนเรามาลงรถแบบคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่จะมีคนมาบอกเองว่าไปขึ้นเขาให้เดินไปทางโน้นขึ้นรถคันนี้ เรานั่งรถตู้เล็ก ๆ ไปหน้าอุทยาน (บนรถก็แทบไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลย ตอนนั้นแบบงงๆ นั่งเอ๋อๆ ตามเขามา นี่ยังนึกชื่นชมตัวเองอยู่ตลอดว่าฉันเก่งที่ผ่านจุดนั้นมาได้ ฮ่าๆๆ) จ่ายค่าธรรมเนียมซึ่งจำได้ว่าไม่แพงเลย แต่จำไม่ได้ว่าจ่ายไปเท่าไหร่ แฮ่ๆ พอทุกอย่างพร้อม เราก็เริ่มเดิน จะบอกว่ามันให้อารมณ์เหมือนเดินขึ้นภูกระดึงบ้านเราเลย คนที่เดินมีทั้งแก๊งวัยรุ่น คู่รักหนุ่มสาว มาเป็นครอบครัว คุณตาคุณยายที่มาเป็นคู่เดินไปด้วยกัน เราคิดว่าทริปนี้เราได้สัมผัสกลิ่นอายความโลคอลของคนซาโคปาเน่มาก ๆ ตลอดทางเราไม่ได้ยินคนพูดภาษาอังกฤษเลย นั่นหมายความว่าส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นจริงๆ เราไปกัน 2 คนก็จริง แต่เรากลับไม่ได้รู้สึกแปลกแยกจากคนรอบตัวมากมายเท่ากับการเดินเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในยุโรป ระหว่างทางจะมีทั้งทางแบบเดินง่ายๆ แต่ต้องระวังลื่นหิมะ (เพราะหิมะโดนเหยียบย่ำบ่อยเข้า มันจะแข็งและลื่นมาก ถ้าเดินไม่ระวังมีโอกาสลื่นแบบก้นช้ำกันเลยทีเดียว) แล้วถนนทางขึ้นเขามันจะมีลักษณะแบบที่ต้องเดินอ้อมเขาลูกเล็กๆ ด้วยใช่ไหมคะ แต่เขาจะมีป้ายบอกว่าถ้าไม่อยากอ้อม ก็เลือกทางลัดได้ แต่ทางลัดเนี่ย มันจะทั้งชัน ทั้งลื่นมากเลยนะ !!! เราก็เลยลองเดินทางลัดกัน ปรากฎว่ามันลื่นจริง ชันจริง เลยต้องค่อยๆ กระดึ๊บกันขึ้นมาแบบนี้แล่ะ ฮ่าๆๆ ตอนอยู่ทางเข้า ก่อนเดินขึ้นเขา ทุกคนจะแต่งชุดกันหนาวแบบจัดเต็มมาก เพราะอากาศมันหนาว รอบตัวมีแต่หิมะ เราใส่เสื้อกันหนาว 3 ชั้น มีหมวก มีถุงมือ เต็มมาก พอผ่านความลื่น ความชัน และผ่านโค้งหลายโค้งเข้า ก็เลยเป็นแบบที่เห็นค่ะ ถอดออกหมดเลยเสื้อกันหนาวที่ใส่มา ผ้าพันคอก็เอาออกมาพันกระเป๋าเป้แทน 5555 ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อนวูบวาบข้างในร่างกาย นี่ขนาดอุณหภูมิ 2-3 องศา แต่เหงื่อออกได้เฉยเลย มาถึงจุดพักรถม้า มองข้ามจากใบไม้ตรงนี้ เห็นรถม้าตรงนั้นแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Hateful Eight : แปดพิโรธโหดแล้วฆ่าเลย เดินมาอีกพักนึง ก็ถึงแล้ว ดีใจมาก บรรยากาศตรงหน้าทะเลสาบก็จะประมาณนี้ค่ะ มีร้านอาหาร ที่มาเป็นครอบครัวก็จะพากันกินขนมปังและแซนวิซ คุณลุงพาคุณป้ามาดูแลกันน่ารักมาก มีข้อสังเกตุว่าคนที่นี่จะชอบถ่ายรูปตอนจุ๊บปากกัน ฮุๆๆ แต่เดี๋ยวนะ ทำไมอยู่ ๆ หน้าชา มือชา ขาชา แม้แต่โทรศัพท์มือถือยังบอกอุณหภูมิไม่ได้ ตั้งแต่ที่เรานั่นเดินขึ้นมา (ฮัมเพลงไม่ออก เพราะปากก็ชา ฮ่าๆ) หนาวมากกก บ้าจริงงง ขนเสื้อกันหนาวออกมาใส่ให้หมด ผ้าพันคอ ตามด้วยถุงมือ และถุงร้อน (ที่เกือบจะโยนทิ้งไปแล้ว) จะลงไปในทะเลสาบ ต้องค่อยๆ ไต่ลงไป เพราะมันลื่นมาก ถ้าไม่ซีเรียสว่ากางเกงจะเปื้อน ก็ใช้ก้นไถลลงไปเลย นี่ไง ดวงตาแห่งทะเล ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งและมีหิมะเต็มไปหมด ข้างล่างคือน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งและมีหิมะตกลงมาปกคลุมไปทั่ว ซึ่งอากาศตรงนี้คือหนาวมาก แต่ผู้คนก็ยังพยายามหามุมถ่ายรูปของตัวเอง เป็นการเดินทางที่เหนื่อย แต่ประทับใจมากเลย เราเดินเล่นตามทางเดินชมวิว แมกไม้ ลำธาร กันอยู่พักใหญ่ แล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับไปทางเดิมกับที่เรามา ขากลับเหนื่อยน้อยลงเป็นเป็นการเดินลงเขา แต่ต้องระวังลื่นให้มากขึ้นแล่ะ บางช่วงลื่นกันเหมือนเป็นโดมิโนเลย มันสนุกดี เราลงมาถึงหน้าอุทยานก็เริ่มมืดแล้ว มีรถตู้รอรับไปขึ้นรถบัสกลับคราครูฟ ซึ่งกว่าจะถึงคราครูฟก็ค่ำมืดเลยค่ะ ถือเป็นอีกทริปหนึ่งที่เราประทับใจมาก เราจดจำทริปนี้ได้ชัดเจนกว่าการเดินชมตึก ชมร้านค้าในเมือง และในความคิดเรา โปแลนด์น่าสนใจมาก เป็นประเทศที่ไม่ต้องไฮโซ โก้หรู แต่มีความธรรมดามากๆ และเราก็ชอบมากเลยไอ้ความธรรมดาแบบนี้ !!!! ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !