ถึงเสียทีสถานีเชียงใหม่ ผมนั่งรถไฟชั้น 3 เกือบ 13 ชม. เมื่อยไปทั้งตัว พอลงจากรถไฟได้ก็รีบบิดขี้เกียจเดินหาห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายและชุบทองให้หล่อเหลา พอเสร็จธุระก็รีบหาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ สาบานได้ว่าผมจะไม่ขอนั่งรถไฟชั้น 3 อีกต่อไป(ถ้าไม่จำเป็น) มันทรมานคนอ้วนอย่างผมมากเสียจริงๆ ไม่รอช้าผมจึงรีบเดินทางไปหาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์เป็นการด่วน คิดทนงตัวในใจว่า "มันคงไม่ยากอะไร" พอมาถึงร้านซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถไฟเชียงใหม่มากนักก็เจอชายวัยกลางคนกำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์ในร้านที่เต็มด้วยมอเตอร์ไซค์มากมายทั้งเก่าและใหม่ปนกัน เค้ารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นผมเข้ามาในร้านเพื่อเช่ามอเตอร์ไซค์"น้องจะไปไหนล่ะครับ" เสียงชายวัยกลางคนถามผมด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร"ไปดอยอินทนนท์จ้า ขอเช่ามอเตอร์ไซค์เกียร์ออโต้" ผมตอบสวนกลับอย่างอารมณ์ดีแต่นั้นกลับทำให้สีหน้าของชายวัยกลางคนดูไม่ยินดีเสียเท่าไหร่ พร้อมทั้งถามผมอย่างหนักแน่นอีกรอบว่า "แน่ใจนะว่าจะเอาไปน่ะ"ผมก็อย่างมั่นใจว่า "ครับแน่ใจสิครับ"ไม่ถึง 5 นาทีต่อมาสิ่งที่ชายคนนั้นทำคือการถ่ายรูปมอเตอร์ไซค์ทุกจุดเท่าที่จะทำได้แล้วขอบัตรประชาชนผมไว้(ทุกที่เป็นแบบนี้)แล้วให้เอกสารสัญญาผมไว้ 1 ใบ "โชคดี" ชายวัยกลางคนตอบด้วยเสียงที่เป็นห่วงใช่ครับผมกำลังเดินทางไปดอยอินทนนท์ด้วยมอเตอร์ไซค์ผมไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรยากมากนัก เราก็เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์แข็งเหมือนกันแถมถนนในตัวเมืองเชียงใหม่ก็มีกฎที่ชัดเจนว่าขับไม่เกิน 60 กม./ชม. ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากมาย ระยะทางจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ถึงดอยอินทนนท์ถือว่าไกลพอสมควร ผมเลยแวะระหว่างทางเยอะเป็นพิเศษ แต่ด้วยเส้นทางที่เป็นเส้นตรงอย่างเดียวก็ง่ายต่อการเดินทาง ไม่นานนักผมก็มาถึงปากทางเข้าดอยอินทนนท์ได้อย่างไม่ยากเย็นนักในขณะที่ผมกำลังขี่ขึ้นดอยอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่ารถของผมมันอืดผิดปกติกว่าที่เป็นก็แอบคิดในใจว่าร้านเอารถย้อมแมวมาปล่อยเช่าเปล่าหรือเปล่า ขี่ไปได้สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้จองที่พักอะไรเลย จึงได้หาที่พักเสียก่อน ผมสะดุดตากับชื่อของที่พักอย่าง"ดอยชัวร์ญ่า" มองไปรอบก็ได้วิวสวยๆและราคาไม่แพง แถมมีร้านหมูกระทะใกล้ๆด้วย ไม่รอช้าผมก็จ่ายค่าที่พักและค่าเต็นท์เรียบร้อย แต่ผมก็ยังค้างคาใจในเรื่องของมอเตอร์ไซค์เตอร์ที่ขี่มา หลังจากที่เก็บข้าวของเรียบร้อย ผมจึงรีบแชทสอบถามทางร้านกับเรื่องดังกล่าว"และสิ่งที่ผมไม่ได้คิดไว้ก็เกิดขึ้น"ปลายทางแชทเป็นเจ้าของตัวจริงบอกกับผมว่าเป็นเรื่องปกติของการขี่ขึ้นดอยอยู่แล้ว รถไม่ได้เป็นอะไร แต่เจ้าของร้านได้แนะนำผมเกี่ยวการลงดอยให้ผมอย่างละเอียด "ฟังนะ น้องเพิ่งมาครั้งแรกใช่ไหม งั้นเวลาลงดอยอย่า "กำเบรกบ่อยจนเกินไป" พยายามทรงตัวและคอยบิดคันเร่งทีละนิดเพื่อให้รถมีเอนจิ้นเบรกบ้างมันจะอยู่ประมาณ 3-4 วินาทีแล้วจะดีเลย์ จากนั้นรถจะไหลลงอย่างรวดเร็ว น้องต้องคอยกำเบรกทีละนิดแต่อย่ากำนานไม่งั้นเบครจะไหม้ ทางที่ดีหารถเช่าขึ้นไปจะดีกว่านะครับ"ผมตกใจเล็กน้อยกับคำแนะนำ ไม่สิ!!! "คำเตือนเสียมากกว่า"ไม่รอช้าผมเลยรีบเอามอเตอร์ไซค์ขึ้นไปบนดอยอินทนนท์ทันทีเพราะมีเวลาว่างไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว พอขึ้นไปได้สักพักก็เริ่มเข้าใจว่ามันยากสำหรับเราเพราะความเร็วลดลงเหลือแค่ 20-30 กม./ชม. เท่านั้นบวกกับน้ำหนักตัวที่เยอะจึงเป็นอุปสรรคมากๆ มันเป็นประคองขึ้นเสียมากกว่า แน่นอนตอนขึ้นไปมันไม่มีอะไรเท่าไหร่ ผมขึ้นมาถึงกิ่วแม่ปานแล้วไม่ได้ไปต่อเพราะเย็นมากแล้ว เลยตัดสินใจลงเพื่อดูว่าตัวเองจะรอดหรือไหม"มันยากกว่าที่คิดไว้"ผมคิดอยู่ในหัวแบบนั้นแต่มือผมก็กำเบรกแน่นแทบจะไม่ได้คลายเลยด้วยซ้ำ ความเร็วที่น่าตกใจจนบางจังหวะเกือบล้มไปเฝ้าเหว ว่าแล้วทำไมถึงมีจุดพักเบรกข้างทางขึ้นเป็นระยะเพราะเอาไว้พักรถเพื่อพักเบรกไม่ให้ไหม้ยังไงล่ะ!!! แต่จนแล้วจนรอดผมก็สามารถลงมาได้แบบปลอดภัยพอมีทักษะเอาตัวรอดอยู่บ้าง เหงื่อผมไหลท่วมตัวทั้งๆที่อากาศหนาวมากๆ ผมเข้ามาในที่พักแล้วเริ่มดูในกระทู้ต่างๆว่าความคิดเห็นเป็นอย่างไร ดู YOUTUBE เพื่อดูวิธีลงดอยอย่างปลอดภัย แต่มันกลับทำให้ผมกลัวมากกว่าเก่าผมตัดสินใจว่าจะเช่ารถขึ้นไปแน่นอนจึงรีบขอเบอร์ติดต่อรถเช่าจากพนักงานเฝ้าที่พักผลัดกลางคืน ได้มาหลายเบอร์แต่กลับไม่มีเบอร์ไหนรับสายผม จนคิดว่าค่อยมารอช่วงตี 4-5 ก็ได้ เพื่อรอติดรถเช่าของคนอื่นไป ช่วยออกค่ารถก็คงไม่เสียหายอะไร ก็เลยมนั่งทำใจด้วยการกินหมูกระทะให้หายกลัวสักพักก็ยังดี ถามว่าอร่อยไหมก็ไม่นะ รสชาติปกติไม่มีอะไรพิเศษ ที่พิเศษก็คงเป็นผักที่หลากหลายก็พออร่อยขึ้นมาบ้าง ทานเสร็จผมก็เดินกลับที่พักเพื่ออาบน้ำ แปรงฟัน เข้านอนหวังว่าจะมีรถเช่าจากคนอื่นมานะในวันถัดมาผมตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมารอรถตามแผนที่วางไว้ อากาศของนอกหนาวมากและเงียบสงัด มีแสงไฟเพียงเล็กน้อยจากจุดบริการที่พักเท่านั้น ผมเดินมารออยู่หน้าที่พักอย่างกังวลใจเป็นที่สุด อารมณ์ในตอนนั้นแทบจะเรียกได้ว่า 50/50 ว่าจะได้ไปหรือไหม่ ไม่นานก็มีรถคันนึงมาจอดเทียบท่าเพื่อมารับคนที่นัดกันไว้ มีวัยรุ่น 3-4 คนเดินออกมาจากที่พักมายังรถที่นัดกันไว้ ผมไม่รอช้ารีบไปคุยกับคนที่นัดไว้ว่าจะขอร่วมเดินทางไปด้วยแล้วจะช่วยออกค่ารถ"ไม่ได้ๆรถเต็มแล้วไม่ให้ขึ้น" เสียงจากคนขับดังมาทำให้ทุกคนหยุดชะงักผมหันไปอธิบายให้เค้าฟังถึงปัญหาของผม แต่กลับโดนปฏิเสธทั้งๆที่ในรถก็มีคนแค่ 4 คนเท่านั้น คนขับรถเร่งให้ขึ้นรถกันให้หมดเพราะเดียวไม่ทัน ทิ้งผมไว้คนเดียวตรงนั้น"ไม่ได้ไปแล้วล่ะกรู" ผมพึมพำ ผมเดินหันหลังกลับมาตรงที่ม้านั่งอย่างสิ้นหวังแล้วไม่รู้จะเอายังไงต่อมองไปที่รถของตัวเองซึ่งตอนนี้ด้วยอากาศที่เย็นทำให้ น้ำเกาะตามรถอีกนิดก็แทบจะเป็นแม่คะนิ้งได้เลย พูดตามตรงโมเม้นท์นั้นผมไม่กล้าที่จะเอารถตัวเองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่กี่อึดใจ ชายแก่ที่เป็นพนักงานของที่พักก็มาเสนอรถเวฟคันเก่าๆให้ผม ผมดีใจมากๆเพราะอย่างน้อยมันก็น่าจะขับง่ายกว่าเกียร์ออโต้หลายเท่า "อย่างน้อยฟ้าก็เข้าข้างเรา" ผมคิดแบบนั้นจริงๆพร้อเดินตามลุงไปที่รถของแกแต่ฟ้าก็เข้าข้างผมแปปเดียวเท่านั้น!!!"เท่าไหร่ดีนะ อ๊าาาา สามร้อยก็แล้วกัน แต่ต้องไปเติมน้ำมันด้วยนะ น้ำมันจะหมดแล้ว" ชายแก่พูดด้วยสำเนียงคนดอยกับผมพร้อมชี้ไปที่รถเวฟเก่าๆของแกคำพูดของชายแก่ทำให้ผมต้องสะอึกเพราะมันเป็นคำพูดของคนเห็นแก่เงินที่อยู่ตรงหน้าของผม เชื่อไหมวินาทีนั้นผมสิ้นหวังสุดๆแต่ก็อยากไปให้ได้ คิดว่าตอนนั้นต้องเสียเงินแน่ๆ แต่ในกระเป๋าตังกลับมีแค่ 300 บาทเท่านั้น ผมเลยถามถึงตู้ ATM เพื่อจะไปกดเงิน"แล้วATM อยู่ไหนอ่ะผมจะไปกดเงิน" ผมถามลุงอย่างเซ็งๆที่จะต้องเสียเงินแต่มันกลับทำให้ลุงแกเปลี่ยนสีหน้าทันทีและตอบกลับมาว่า "ที่นี่ไม่มี ATM หรอกเพราะมันโดนงัดบ่อย"เมื่อผมได้ยินแบบนั้นก็รีบตัดบทพูดคว้าโอกาสการชิ่งหนีไม่รอให้แกโน้มน้าวอีก "งั้นก็คงต้องไปด้วยมอเตอร์ไซค์ผมนี่แหละ แย่จังนะลุง" ผมตอบด้วยความสะใจเล็กน้อย แต่ก็ยังกังวลใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องไปด้วยมอเตอร์ไซค์ตัวเอง"สองร้อยก็ได้" ลุงรีบลดราคา"ผมต้องเอาไปจ่ายค่าเข้าไกด์อ่ะลุง" ผมตอบปัดไป"ก็แค่เดินป่าเฉยๆไม่มีอะไรหรอก" ลุงตอบกลับอย่างใจร้อนผมไม่คิดเลยว่าจะเจอคนที่โลภแบบนี้กับตัวเอง แล้วผมก็เดินไปที่มอเตอร์ไซค์ที่สภาพดูไม่ได้ เพื่อพามันขึ้นไปดอยอินทนนท์ ปล่อยลุงแกเหว่อไปแบบนั้นปากดีไม่ทันถึงห้านาที รู้ตัวอีกก็เอาตัวเองคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ในบรรยากาศโดยรอบที่มืดมิดและหนาวเหน็บ จะหันกลับไปก็ไม่ได้เดี๋ยวเสียหน้าศักดิ์ศรีดันมาค้ำคอตอนนี้เสียด้วย เหลือบมองที่นาฬิกาในมือถือเพิ่งจะตีสี่ครึ่งเท่านั่น อากาศที่หนาวแทบขาดใจกับข้างทางที่ไม่มีไฟ บอกได้เลยว่าพร้อมตายได้ตลอด เมื่อรวมกับสภาพของผมที่มีแค่เสื้อกันหนาวหนึ่งตัวแถมยังบ้าบิ่นใส่กางเกงขาสั้น และไม่มีถุงมือถุงเท้าอะไรเลย ทำให้เวลาขี่ขึ้นดอยนิ้วผมแข็งจนแทบขยับไม่ได้ ผมยอมรับว่าความกลัวนั้นก็มีเข้ามาครอบงำเหมือนกันเพราะแทบไม่เห็นทางข้างหน้าด้วยซ้ำ ทุกอย่างนั่นมืดจนคิดว่าถ้ามีรถยนต์สวนมาคงไม่รอด แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังไปต่อได้คือ "ไฟหน้ารถ" ที่ยังคอยเป็นแสงนำทางสุดท้ายของผมได้ นึกสภาพว่าผมต้องขี่ขึ้นดอยไปข้างทางมืดสนิทมีแต่เสียงแมลงดังเซ็งแซ่ ผ่านไปกี่โค้งไม่รู้ชนิดที่เรียกได้เลย "ถ้าถึงก็รู้เองนั้นแหละ" เป็น 14 กม.ที่ทรมานจับใจกว่าจะถึงกิ่วแม่ปานแต่ในเมื่อตัดสินใจมาขนาดนี้แล้ว "ต้องรับจบงานให้เรียบร้อย" ไม่กี่อึดใจหลังจากลากตัวเองขึ้นมาได้ ผมก็เริ่มเห็นแสงของรถยนต์และผู้คนมากมาย ใช่แล้วผมพาตัวเองมาถึง "กิ่วแม่ปาน" สำเร็จสถานที่ที่ผู้คนมากมายรอชม "แสงแรก" จากพระอาทิตย์ยามเช้า ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกและรีบหาที่จอดรถตรวจดูอีกทีว่าตัวเองคงไม่ลืมกุญแจรถหรือสิ่งของมีค่าต่างๆ สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือการ "มาร์กจุดของสถานที่นี้"ด้วยการหาห้องน้ำเพื่อ "ปลดเบา" คุณเอ้ย ใครจะทนไหว กลัวก็กลัว อยากก็อยาก อารมณ์ตอนนั้นตีกันมั่วไปหมด แล้วน้ำในห้องน้ำก็เย็นมากๆเหมือนแช่มาจากช่องฟรีซ ผมล่ะนึกถึงพี่โน้ต อุดม เดี่ยว 8 ขึ้นมาทันที พอออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพหนาวก้นจับใจ ผมก็เดินมาตรงถนนที่มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจับจองที่ของตัวเองเพื่อรอชม "แสงแรก" ของวันไม่นาน "แสงแรก"ของวัน ณ ดอยอินทนน์ก็ปรากฏ ถ้ามีคนถามกับผมว่า "มันคุ้มค่าไหม" ผมคงตอบอย่างไม่ลังเลว่า "คุ้มค่าสิ" จะมีสักกี่อย่างบนโลกใบนี้ที่เราเต็มใจจะทำโดยไม่มีความสงสัยใดๆ ทำด้วยใจและความอยากของตัวเองจริงๆ ความรู้สึกที่เห็นแสงจากพระอาทิตย์ที่ลอยเหนือขึ้นมาจากที่ไกลแสนไกลนั้นคงไม่ต่างอะไรกับชีวิตที่มีความหวังเสมอแม้จะเจอปัญหาอะไรที่เข้ามาในชีวิตของเรา ผู้คนมากมายจะมาที่แห่งนี้ทำไมกันถ้ามันไม่มีความหมาย ผมมองไปโดยรอบมีทั้งคนที่มากลับครอบครัว คนรักที่โอบกอดกันอย่างกับหลุดมาจากซีรีส์เกาหลีหรือ"Introvert อย่างผม" ที่เสาะแสวงหาความหมายของชีวิตและชอบทำในสิ่งที่แตกต่างแน่นอนมาถึงที่นี่ก็ต้องไม่พลาดที่จะสำรวจธรรมชาติและวิวที่สวยงามของ "กิ่วแม่ปาน" ผมจ่ายค่าไกด์ในราคา 200 บาทให้กับไกด์ชาวดอยซึ่งเป็นชาวบ้านแถวนั้นที่อาสาพานักท่องเที่ยวเดินชมธรมมชาติ ณ กิ่วแม่ปาน ทางเข้าจะมีไม้ยาวให้คนที่ไม่ไหวได้พยุงตัวเองแต่ขอแนะนำ "เตรียมน้ำไว้จะดีกว่าและอย่าพกของไปเยอะ ขอให้อดทนต่อการเดินต่อจากนี้ด้วย"สาเหตุมันเกิดจากหากคุณไม่ไหวไกด์ต้องเสียเวลาพาคุณเดินออกไปตรงทางเข้าแล้วถึงจะมารับคนที่เหลือเดินต่อ ทางเดินไม่กี่กิโลเมตรก็จริง แต่ด้วยเส้นทางธรรมชาตินี้อยู่เหนือระดับน้ำทะเลทำให้ท่านที่ไม่แข็งแรงจะเหนื่อยง่ายและหายใจไม่ทัน "ถ้าไม่ไหวอย่าฝืน" แต่หากท่านคิดว่าไหวยินดีด้วย "ธรรมชาติที่สวยงามกำลังรอท่านอยู่"ตลอดการเดินทางผมมีความคิดอยู่ในหัวเสมอว่า "ถ้ารวยและมีเวลาก็คงจะดีนะ" เพราะจะเอาเวลามาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้มากกว่าชีวิตในเมืองใหญ่ที่เรียกว่า "เมืองหลวง" ที่มีแต่ฝุ่นควันจากรถติดในช่วงเช้า แต่กลับต้องใช้เวลาให้เร่งรีบเพื่อไปตอกบัตรทำงานในทันเวลามันเป็นอะไรที่ย้อนแย้งนะผมว่าแต่ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ "เวลาเป็นของคุณ" สิ่งแวดล้อมโดยรอบล้วนเป็นมิตรและรอให้คุณถ่ายรูปกับมันโดยไม่เสียตังอะไร มันก็เหนื่อยอยู่หรอกนะที่ต้องเดินแบบนี้ แต่มันก็หายเหนื่อยทันที่เมื่อเงยหน้ามองธรรมชาติและแสงแดดอ่อนๆ ผมแทบอยากตะโกนดังๆออกมาแต่ติดตรงที่มีคนมากมายอาจไม่ชอบใจมากนักอีกสิ่งนึงที่ผมคิดว่ามันดีมากๆคือ "ธรรมชาติบำบัดมนุษย์" ผมรู้สึกว่าผู้คนโดยรอบนั้นเป็นมิตรมากๆเราพูดคุยกันเปรียบเสมือนว่ารู้จักกันมาเป็นสิบปี ทุกคนต่างยิ้มแย้มและไม่มีพิษมีภัยอะไร เมื่อลองเปรียบเทียบว่าหากเราอยู่ในกรุงเทพฯแล้ว ผู้คน ณ ที่แห่งนี้จะมีอารมณ์หรืออากัปกิริยาอย่างไร เราอาจจะระแวงซึ่งกันและกันเพราะสังคมโดยรอบนั้นทำให้เราคิดแบบนั้นก็เป็นได้ แต่ในที่แห่งนี้ "ผมได้ถ่ายรูปให้คนอื่นเยอะมากๆ กล้องแต่ละตัวนี่ก็ราคาไม่ใช่เล่นๆเสียด้วย" แต่พวกเค้ากลับยื่นมันให้ผมและสอนผมถ่ายอย่างไว้ใจ "คุณคิดว่ามันเป็นเพราะอะไร หน้าตาผมน่าไว้ใจขนาดนั้นเหรอ?"หลังจากที่รอดจากการเดินชมธรรมชาติมาได้(เหนื่อยมาก) ผมก็มุ่งหน้าสู่ภารกิจสุดท้าย"คือขึ้นไป ณ จุดสูงสุดของดอยอินทนนท์" ซึ่งต้องขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปอีกนิดหน่อย(มั่ง) ยอมรับว่าผมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าจะลงจากดอยด้วยซ้ำเพราะอารมณ์ในตอนนั้นมันกลบความกลัวไปหมดตามความรู้สึกพอมาถึงแล้วก็กลับไม่ได้มีอะไรหวือหวา อาจเป็นเพราะได้ใช้สกิลเหล่านั้นไปกับผู้คนในกิ่วแม่ปานไปหมดแล้วถึงจะเก็บเกี่ยวความรู้สึกมากแค่ไหนก็ถึงเวลาสำคัญที่ต้องลงจากดอยเสียที อารมณที่ต้องสับสวิตซ์กลางคันเพื่อเอาตัวเองให้ได้รอดเนี่ยมันยากมากเลยรู้ไหม ผมนั่งลงตรงฟุตบาทปากทางเข้า แล้วเริ่มดูคลิปใน YOUTUBE เพื่อจดจำสิ่งต่างๆให้ได้และเริ่ม "ลงมือทำ" ความยากคือการลงก็จริง แต่สิ่งที่ยากกว่าและมองเป็นอุปสรรคคือ "เหล่าหินทรายที่เกิดจากการสร้างถนนนี่แหละ"คือไม่มีใครมามันกวาดเลย โอกาสที่ลื่นล้มมีสูงเอามากๆลำดับขั้นที่จับใจความได้ห้ามจับเบรกนานเกินไปเพราะเบรกจะไหม้พยายามทรงตัวให้ได้มากที่สุดจับเบรกทีละนิดและบิดคันเร่งเล็กน้อยเพื่อเรียก "เอนจิ้นเบรก""เอนจิ้นเบรก"อยู่ได้ 3-4วินาที เท่านั้น(แล้วแต่รุ่นรถ)จบบริบูรณ์"เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน" ผมถอนหายใจแล้วเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ ผมเริ่มลงมาจากดอยอินทนนท์จนมาถึงกิ่วแม่ปานโอเคไหวอยู่ยังสามารถทรงตัวได้ถึงทางลงดอยจะทอดยาวพอสมควร แต่พอพ้นจากกิ่วแม่ปานมาได้ นี่แหละคือ "ของจริง" ด้วยความอ่อนประสบการณ์ ตามฟอร์มผมกดเบรกเต็มแรงไม่มีผ่อน แต่รถก็ยังไหลลงไปเรื่อยๆไม่หยุดเพราะทางลงนั้นถี่ยิ่งกว่ากระหล่ำปลีซอยเสียอีก แล้วผมก็เจออุปสรรคจนได้ ทรายและปูนเล็กๆเกือบทำให้ผมเฝ้ายมบาลแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น!!! โชคดีที่ขาผมยึดถนนไว้ได้ หน้าพ่อหน้าแม่ลอยมาเลยจังหวะนี้ เหงื่อไหลเต็มหน้าเต็มมือไปหมด หายใจแรงเพราะความกลัวตาย!!! เลยจอดรถเรียกสติกลับมาสักพักแล้วเริ่มใหม่ ผมดันลืมหัวข้อ "บิดคันเร่งไปเสียสนิท" จริงๆแล้วผมก็สงสัยว่าบิดแล้วมันก็แรงขึ้นสิเลยไม่ทำตาม จนอึดใจนึงผมก็คิดว่า "ล้มก็ล้ม" เลยลองวิธีใหม่ๆ อย่างการ "กดเบรกทีละนิดช่วงที่โค้งลงดอยแล้วทรงตัวโค้งให้นิ่งที่สุด" ได้ผล!!! รถอยู่ในทางของมันไม่ไถลออกนอกเส้นทางอีกแล้ว ประจวบกับมือของผมที่บิดคันเร่งรถ "เอนจิ้นเบรก"ก็ทำงาน มันดึงรถไม่ให้ไหลไปตามทาง รถจะเกิดอาการเอื่อยเล็กน้อยและจะกลับมาทำความเร็วอีกครั้งหลังผ่านไประยะนึง แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาอีกแล้วเพราะ "ผมรู้วิธีลงดอยเรียบร้อย" ผมก็วนสูตรไปมาแบบนั้น จนผมมาถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีบาดแผลเลยสักนิดเดียวเลยรีบเก็บของและกลับลงเชียงใหม่เพื่อเอารถไปคืนให้ทันเวลา ความรู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองได้อัพเลเวลขึ้นไปอีกขั้น มันดีใจแบบสุดๆยิ่งกว่ารอคิวร้านเครปป้าเฉื่อยเสียอีกไม่นานผมก็สามารถลงมาถึงปากทางเข้าดอยอินทนนท์ได้สำเร็จ มันสุดๆเลยคุณเอ้ย จนผมมีความคิดที่อยากเอามอเตอร์ไซค์ที่บ้านมาเลยล่ะ ด้วยความที่มาก่อนเวลาเลยแวะไปขี่เที่ยวชมเมืองเชียงใหม่เสียหน่อย ที่เชียงใหม่ไม่ต่างอะไรกับกรุงเทพฯมากนัก อาจจะต่างกันตรงที่ถ้าคนเชียงใหม่เบื่อๆก็ขับรถขึ้นดอยได้เลย ส่วนคนกรุงเทพฯก็ไม่มีแบบนั้นแต่ก็มีห้างเยอะกว่าเป็นการปลอบใจ(ได้ไหมเนี่ย) ร้านต่างๆในเชียงใหม่ก็เยอะนะ ศูนย์รวมคนดังในหลายวงการเลย ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากปลูกบ้านไว้ในเชียงใหม่เหมือนกันขี่มาได้สักพักก็มาจอดอยู่ที่ประตูท่าแพก่อนจะเอารถไปคืน พระเอกนางเอกของที่นี่ก็คือ "นกพิราบ"ที่คอยให้คุณถ่ายรูปพวกมันโดยมีพวกพี่ๆที่ขายของแถวนั้นอาสาถ่ายรูปให้(ไม่เสียเงิน) เมื่อผมมาถึงหน้าร้านมอเตอร์ไซค์ ชายวัยกลางคนก็รีบเดินมาหาผมด้วยความตื่นเต้นแล้วรีบมาดูรถว่ามีอะไรเสียหายไหม "เห้ย!!!ไอ้น้องเจ๋งเหมือนกันนี่หว่า พี่นึกว่าจะไปเจอกันที่อู่หรือโรงพยาบาลกันเสียแล้ว" ชายวัยกลางคนพูดกับผมด้วยความดีใจเมื่อเห็นผมยังครบสามสิบสองประการ"อ้อครับ ผมไม่ยอมให้เสียตังหรอกหน่า" ผมพูดพลางยิ้มอ่อน(ไม่ห่วงผมเลยนะ)"ก็เด็กสมัยนี้ที่มาน่ะ เอาไปชนจนพี่ปวดหัวก็คิดว่ามันง่ายกันไง" ชายวัยกลางคนบ่นให้ผมฟังถึงเรื่องราวที่เจอมาตลอดมันก็จริงอย่างที่เค้าพูดมานั้นแหละ เพราะตอนที่ผมลงมานั้นก็เจอกับรถที่ปฏิเสธผมก่อนหน้าก็พักรถเพราะเบรกไหม้ หรือเด็กวัยรุ่นกลุ่มนึงที่รถล้มแผลถลอกก็เกิดจากความไม่รู้และประมาท ถ้าผมไม่ทักแชทไปหาร้านแล้วเจอเจ้าของร้านที่ดีแบบนั้น ผมคงเป็นแบบนั้นเช่นกัน หลังจากที่คืนรถเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินทางไปยังสนามบินเชียงใหม่เพื่อกลับกรุงเทพฯด้วยการ "เดินไปสนามบิน" ใช่ครับผมเดินไปเพราะงบในกระเป๋าไม่พอแล้ว ต้องเก็บไว้ใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ผมเดินมาได้เกือบครึ่งทาง ทันใดนั้นก็มีรถสีแดงบีบแตรเรียก ผมก็ได้แต่ไม่สนใจและรีบเดินเพราะคิดว่าคงเรียกลูกค้าเหมือนแท็กซี่ เดินไปสักพักรถแดงคันเดิมก็แซงหน้าผมแล้วจอดรถเรียกอีกครั้ง"ไปสนามบินเหรอหนุ่มเอ้ย ขึ้นรถลุงมา ฟรีโว้ยยยยย" ลุงแกตะโกนเสียงดังลั่นผมเลยรีบขึ้นมาทันทีโดยไม่รีรออะไรเพราะตัวผมเองก็เหนื่อยมากๆจากการเดิน"เจอเรื่องไม่ดีมาล่ะสิถึงไม่สนใจลุงน่ะ" ลุงถามผมเมื่อผมขึ้นรถมาได้ไม่ถึงสองนาที"ก็ต้องระวังตัวน่ะครับ ตอนนี้งบผมไม่เหลือแล้ว" ผมตอบลุงแบบตรงไปตรงมา"เอาหน่าก็เจอเรื่องดีๆแล้วหนิ ลุงกำลังไปสนามบินพอดี" ลุงตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงแต่ผมก็ไม่ตอบอะไร ได้แต่นั่งเฉยๆแบบนั้นจนถึงสนามบิน ลุงก็จอดรถให้ผมลง ผมก็ไหว้ขอบคุณลุงเค้านะที่อุตส่าห์ใจดีมาส่งให้"ไม่เป็นไรหรอก ลุงมารับลูกสาวน่ะ" หลังจากที่ผมเดินออกมาได้สักพักก็มีผู้หญิงคนนึงเป็นแอร์โฮสเตสเดินขึ้นมาในรถและลุงแกก็ขับรถออกไปจากสนามบิน ผมมองด้วยความทึ่งเหมือนกันที่ลุงแกเลี้ยงดูลูกสาวจนได้ดี น่านับถือมากๆ ผมเดินตรงไปที่รับรองของสนามบินเพื่อเชคของและหาสายการบินที่จองไว้เพื่อกลับกรุงเทพฯ เรื่องนี้จบไม่สวยเท่าไหร่เพราะผมต้องรอเครื่องบินดีเลย์เกือบ 3 ชั่วโมงและต้องอยู่ในห้องที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน พอลงมากรุงเทพฯหูก็อื้อไปเกือบ 2-3 นาที โถ!!! ชีวิตครบรูปแบบจริงๆ แต่ก็นะการเดินทางก็ต้องแบบนี้ถ้าจะเจอแต่สิ่งดีๆอย่างเดียวมันจะไม่สนุกเอา รอบหน้าก็ขอดีๆๆหน่อยล่ะกัน....พิกัด (เยอะแหะนึกแปป) :สถานีรถไฟเชียงใหม่, ดอยชัวร์ญ่า, กิ่วแม่ปาน, ดอยอินทนนท์, ประตูท่าแพที่อยู่:ที่พักดอยชัวญ่าร์ หมู่ 7 ตำบล บ้านหลวง อำเภอจอมทอง เชียงใหม่ 50270ดอยอินทนนท์ ตำบล บ้านหลวง อำเภอจอมทอง เชียงใหม่ 50270กิ่วแม่ปาน ตำบล ช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม เชียงใหม่ 50270ประตูท่าแพ ถ.ท่าแพ ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200พิกัด (แผนที่): ดอยชัวญ่าร์ดอยอินทนนท์กิ่วแม่ปานประตูท่าแพนามปากกา:NATOOMEETYOU (ครีเอเตอร์เอง)เครดิตรูปภาพ:NATOOMEETYOU (ครีเอเตอร์เอง)วันลาเหลือใช่ไหม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !