ภูเขาที่ว่าสูง สูงสุดบนยอดเขา แต่ด้วยความศรัทธาของเหล่าชาวพุทธแล้ว ไม่มีสิ่งที่ทำไม่ได้ อินเดียดินแดนประสูติ ตรัสรู้ ประกาศศาสนา และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนทางนมัสการพระศาสดาบนยอดเขาอันสูงชัน เคยได้ยินพระอาจารย์เล่าว่า ตอนที่เดินทางอยู่บนรถสู่พุทธคยา คือพระพุทธเจ้าเคยกล่าวกับพระอานนท์ ว่า ถ้าหากใครคนใดที่ได้เดินทางไปสักการะสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสดาครบทั้ง 4 ตำบล นั่นคือสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน เวลาที่กระทำกาลกิริยา คือการตายไปจากโลกใบนี้ แล้วจะได้เข้าสู่สุคติสวรรค์ คือไม่ได้ตกนรกนั่นเอง แต่ใจจะต้องเลื่อมใสศรัทธาพร้อมด้วย สิ่งที่ต้องพบเจอในขณะที่เดินทางคือบททดสอบ บางครั้งเราจะต้องใช้ความมานะอดทน หนึ่งคือการอดทนในเรื่องของการเดินทาง ระยะทางที่ไม่ได้ปูราบเรียบกำหนดระยะเวลาที่จะถึงจุดหมายได้ยาก มูลคันกุฎี เมื่อรถเดินทางเข้าสู่ มหานครราชคฤห์ นอกหน้าต่างจะเห็นรั้วเขตแดน ที่เป็นแนวดินเม็ดหินเรียงกันอย่างสวยงาม ซึ่งทำให้ผู้คนที่อยู่ในรถพากันตื่นเพื่อดูทัศนียภาพสองข้างทาง พิกัด >>>>>> google maps สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ทุ่งข้าวสาลีความสวยงามระหว่างทาง ภูเขาที่นี่เป็นภูเขาหัวโล้น ท้องทุ่งข้าวสาลีสีเขียวเหมือนภาพวาดอันวิจิตร ภาพที่เห็น สองข้างทางอุดมสมบูรณ์ มหานครราชคฤห์ ความสวยงามเหล่านี้อยู่ในสายตาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มองลงมาจากยอดเขา ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราทุกคนจะเดินขึ้นสักการะ เส้นทางสักการะ จุดหมายของศรัทธาชาวพุทธ ชาวพุทธจากทั่วโลกเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพราะเชื่อและศรัทธาว่าครั้งหนึ่งถ้าได้เดินทางขึ้นเพื่อสักการะใกล้ชิดกับพระองค์ กล่าวคำบูชาสถานที่สวดมนต์ นั่งสมาธิแม้หนทางจะไกลและต้องปีนบันไดอย่างลำบาก แต่เมื่อกลับลงมาจากการสักการะแล้วมีจิตใจที่ใสพองโตมีความสุข ความเหนื่อยเหล่านั้นก็กลับหายไปสิ้น ข้อแนะนำ ในการเดินทางขึ้นสักการะแนะนำให้เดินทางขึ้นในตอนเช้าตรู่ได้เท่าไหร่ยิ่งดี เพราะตลอดเส้นทางขึ้นนั้นถนนโล่งต้องเดินกลางแดด แม้อากาศจะไม่ร้อนมากเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องปาดเหงื่ออยู่หลายครั้งเหมือนกัน และควรสวมใส่หมวก ผ้าพันคอเพื่อป้องกันแดด การเดินขึ้นกราบไหว้สักการะกุฏิพระพุทธเจ้า ก่อนเดินทางขึ้นกุฏิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บนเขา คิชฌกูฏ ระหว่างทางจะมีแม่ค้าแม่ขายคอยขายดอกไม้บูชาบ้าง ขายกระดิ่ง ขายของที่ระลึก แต่ตอนที่เราเดินขึ้นนั้นไม่แนะนำให้ซื้อของนอกจากน้ำ เพราะทางข้างหน้านั้นเราอาจไม่รู้ว่าเราจะเจอสิ่งใดบ้าง ซึ่งบางทีต้องพบกับสภาพอากาศที่ร้อน จนตัองถอดเสื้อแขนยาว สำหรับคนที่นั่งหาบนั้นก็จะสบายหน่อย เพราะไปกลับแบบพระราชานั่งชมบรรยากาศ และประคองตนเองไม่ให้โยกเยกเท่านั้นเอง แต่ถ้ามองรอบข้างด้านล่างคือทะเลต้นไม้ และทิวเขา ตรงนี่จะต้องเดินอย่างระมัดระวัง สำหรับวัยเหลือน้อยที่รู้ประมาณตนเองว่าเดินขึ้นไม่ถึง จะมีเปลหาม สำหรับคนที่ปวดขา อายุเหลือน้อย หรือมีโรคประจำตัว นอกจากโรคกลัวความสูง กับโรคหัวใจ สามารถขึ้นเปลหามได้ ซึ่งต้องเป็นมหาราชา ค่าใช้จ่ายในการนั่งเปลก็จะอยู่ที่การต่อราคา ราคาตามฝีปาก ซึ่งในอินเดียนั้นไม่ได้ดูตามราคา ยิ่งน้ำหนักเยอะคนหามจะยิ่งดีใจ เพราะคนที่น้ำหนักตัวเยอะชาวอินเดียจะมองดูว่าเป็นคนร่ำรวยมีราศี ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 150 ถึง 200 รูปี คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ หนึ่งร้อยห้าสิบ ราคาจะไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราไปเป็นกลุ่มใหญ่แล้วมีคนต้องการนั่งเปลหามก็จะต้องตกลงราคาเท่ากันทั้งหมด กับหัวหน้าทีมและเมื่อตกลงแล้ว จะต้องจ่ายเงินทันที เพราะเวลาเปลี่ยนราคาก็เปลี่ยน หนทางยาวไกล ถ้าเราเปรียบกับสมัยพุทธกาลที่ยังคงเป็นภูเขาที่ยังไม่มีการพัฒนาถนนหนทาง จะแสนลำบากขนาดไหน ระหว่างทางนั้นไม่ได้มีเพียงต้นไม้เท่านั้นยังมีหน้าผามีสายน้ำไหลผ่าน ทุกวันนี้การขึ้นสักการะมีทางลาดยางขึ้นไปจนเกือบถึงกุฏิ การเดินทางมาที่นี่ในหนึ่งครั้งของชีวิต เปรียบเสมือนเราได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด ทางขึ้นที่ทำให้เห็นว่าใกล้จะถึงกุฏิของพระพุทธเจ้า เมื่อมาใกล้แวะเข้าสักการะที่กุฏิของพระพระสารีบุตร ถ้ำสุกรขาตา ที่มีชื่อนี้เพราะมีลักษณะเหมือนหมู เชื่อว่าสถานที่นี้เป็นที่ที่พระสารีบุตรบรรลุเป็นพระอรหันต์ ขณะที่เข้าไปนั่งสักการะนั้นด้านในอากาศเย็นเพราะมีผนังถ้ำลึกเข้าไป สามารถเข้าไปนั่งสักการะได้ครั้งละไม่เกิน 5 คน พอเดินเลี้ยวขึ้นบันไดตรงนี้สามารถนั่งพักผ่อนแรงได้ บางครั้งด้านบนมีผู้คนจำนวนมาก คนแน่นก็จะต้องรอ บริเวณนี้ การเดินทางเนื่องจากเป็นลักษณะของภูเขา หินลูกรัง ยิ่งถ้าเราเดินเข้าใกล้และอยู่ตรงยอดเขาก่อนข้ามสะพาน จะมองเห็นกุฏิด้านบนของพระพุทธเจ้า ซึ่งอยู่สุดยอดของเขาที่เป็นเนินหินสูงขึ้น สามารถมองเห็นทิวเขาทั้งหมด ไม่ว่าใครจะเดินทางมาเพื่อสักการะพระองค์ ที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีจิตรศรัทธานำสิ่งของมาถวาย ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ธูปเทียน ดอกบัวเงินดอกบัวทอง ซึ่งบางท่านนั้นนำพระและสร้อยที่ยังไม่ปลุกเสก บันไดทางด้านข้างใช้ลงไปยังกุฏิของพระอานนท์ เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่เลิศกว่าพระภิกษุองค์อื่นซึ่งมีด้วยกันถึงห้าอย่างและเป็นพระผู้คอยดูแลพระพุทธเจ้ารู้ในทุกอย่างของพระองค์ ติดตามพระพุทธเจ้าไปทุกที่ และถ้าทุกคนที่จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าต้องบอกพระอานนท์ และพระอานนท์จะต้องอยู่กับพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เพื่อจดจำในคำสั่งสอน พระอานนท์ทรงจำได้ทั้งหมดและไม่มีขาดตกบกพร่อง ทำให้กุฏิของพระอานนท์อยู่ด้านล้างกุฏิของพระพุทธเจ้า กุฏิพระอานนท์ บนกุฏิของพระพุทธเจ้า ถ้าเราเดินลงมาทางบันไดจะทะลุกับกุฏิของพระอานนท์ ที่อยู่ด้านหน้าขวามือบันไดทางขึ้นสักการะ หินที่ซ้อนกันอยู่นั้นเป็นความเชื่อเรื่องของการต่ออายุ ของคนที่เดินทางมาสักการะ เชื่อว่าทำให้มีอายุยืนยาว ที่นั่งของพระอานนท์ ซึ่งด้านข้างเป็นบันไดหินเดินลงสู่กุฏิ บันไดทางขึ้นเพื่อสักการะกุฏิพระพุทธเจ้า มีการบูรณะสร้างบันไดที่ทำให้เดินขึ้นอย่างสะดวก ถ้าเป็นสี่ปีที่แล้วที่เคยเดินทางมานั้น บันไดทางขึ้นยังไม่ได้มีการสร้าง ขึ้นได้ครั้งละไม่เยอะ ต้องรอด้านบนลงมาให้หมดก่อน ค่อยต่อคิวเพื่อขึ้นสักการะ การสักการะ ในความเลื่อมใส่ศรัทธาของชาวพุทธส่วนใหญ่บางคนจะนำดอกไม้หรือดอกบัวมาจากบ้าน ซึ่งจะเป็นดอกบัวเงินและบัวทอง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือปัจจัยและความเลื่อมใส กราบและนั่งสมาธิบนยอดเขา ที่มีอากาศร้อนเพราะไม่มีสิ่งใดบดบังแดดได้ แต่อากาศด้านบนหนาวและลมแรงจึงผ่อนคลายความร้อนให้หายไปได้ ใจที่เย็นอากาศจะร้อนแค่ไหนก็ไม่สามารถทำลายความศรัทธาของชาวพุทธ ที่นั่งรอบกุฏิด้านข้าง แต่ก่อนสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่นั้น ภูเขาแห่งนี้ต้อนรับนักบวชจำนวนมากต่างเดินทางมาสักการะพระองค์ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย เมื่อมีคนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้านบนเต็มก็จะนั่งรอบข้างบ้างเพื่อฟังพระธรรมเทศนา มาตรงนี้ต้องระวังถ้าพลาดตกลงไป ด้านล่างคือหน้าผาสูง ทิวทัศน์โดยรอบ ด้านบนจุดสูงสุด สามารถมองไปรอบทิศได้ทั้งหมด ตรงนี้คือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าจำพรรษา เป็นสถานที่สุดท้าย ก่อนสวรรคต ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแต่ละครั้งเสียงของพระองค์นั้นจะกระจายได้ยินไปทั่วทั้งป่าเขาแห่งนี้ แค่ได้ขึ้นมาก็สุขใจเพราะความงามของบรรยากาศโดยรอบนั้นสวยด้วยทะเลภูเขาและความอุดมสมบูรณ์ สถานที่ที่เป็นช่องเขาขาด ในสมัยแต่ก่อนนั้นด้วยความที่พระเทวทัต ที่เป็นพี่ชายของพระพุทธเจ้าต้องการจะทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงได้ กลิ้งหินลงจากภูเขา เพื่อหวังที่จะปลิดชีวิต แต่พระพุทธเจ้าก็บาดเจ็บเพียงนิด สถานที่แห่งนี้ มีหลักฐานบอกไว้ชัดเจน ทั้งสถานที่และก้อนหินที่แตกแยกส่วน แต่อยู่ลึกเพียงแค่ยืนมองไกลๆ ความรักความศรัทธาในพระพุทธศาสนายังเหนียวแน่น ทั้งชาวพุทธไทยและชาวพุทธในอินเดีย สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องได้มีบุญและโอกาสสักครั้งที่ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะถือเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ การมาที่นี่ทำให้เห็นว่า บุญนั้นเราทำได้ด้วยตนเอง คนอื่นสามารถช่วยเราได้ แต่ถ้าใจของเรานั้นไม่สู้ ทุกอย่างก็ไม่สำเร็จ สำหรับใครที่ยังไม่ได้เดินทางมาที่นี่ ครั้งที่เรายังพอมีแรงและกำลังทรัพย์กำลังกายแข็งแรง เดินทางมาที่นี่เถอะสักครั้งในชีวิต แล้วเราจะพบร่องรอยในพระพุทธองค์ ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นของผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว)ห้องส่องร้านดังมาแรง รวมของกินอร่อยต้องโดน บอกสูตรเมนูลับที่ไม่ลับอีกต่อไป