วัดอนาลโยทิพยาราม ต้องเรียกว่า เป็นอาณาจักรแห่งศาสนาสถานที่ยิ่งใหญ่ จุดนี้เราจะคุ้นหูในชื่อ “ดอยบุษราคัม” เพราะเรียกกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว พอเพื่อนจะให้พาไปเที่ยว กลับมาบอกว่า “วัดอนาลโย” เราก็เลยต้องถามกลับไปว่า ... ที่ไหนอะเพื่อน? … ก็ที่เธอถ่ายภาพให้เราดูไงพะเยาอะ!! เพื่อนบอกมาแบบนี้ เราเลยเก็ท!! เราใช้เส้นทางถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงราย-ลำปาง พอถึงแยกแม่ต๋ำก็เลี้ยวซ้าย ไปตามทางหลวงหมายเลข 1127 และเปิด GPS นำทางอีกที ไม่นานก็ถึงจุดหมายได้ไม่ยาก ส่วนนี้คือทางเข้า-ออก ของที่จอดรถ สองข้างทางคือร้านค้าพื้นเมือง แต่ด้วยความที่ร้านอยู่ริมถนน นักท่องเที่ยวก็ต้องระวังรถรากันนิดหนึ่งนะ แต่ส่วนใหญ่รถก็จะขับกันไม่เร็วมาก สำหรับสินค้า จะสวยงามแบบชาวเหนือ เราก็อุดหนุนกางเกงสะดอ 2 ตัวด้วยเหมือนกัน อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่าที่แห่งนี้เป็นอุทยานพระพุทธศาสนา จึงมีศาสนสถานที่น่าไปเที่ยวชมอีก 3 ที่ด้วยคือ เขาพระเจ้าทันใจ-เจดีย์พุทธคยา / เขาพระพุทธลีลาองค์ใหญ่ / เขาเจ้าแม่กวนอิม จะเที่ยวชมให้ครบทุกที่ ต้องอาศัยการขับรถไปนะ มีรถให้บริการเที่ยวละ 400 บาท จะไปกี่คนก็ได้ เกริ่นนำมาเยอะแล้ว ถึงเวลาไปเที่ยวดอยบุษราคัมกันสักทีเนอะ.. เริ่ม!!.. จากในภาพ แค่ทางเดินขึ้นก็ตะลึงแล้ว ให้ความรู้สึกเก่า ขลัง อย่างบอกไม่ถูก เพื่อนเราบางคน น้ำหนักเยอะ พอเห็นบันไดเท่านั้นแหละ ไม่ยอมไปต่อกันเลย ปลอบประโลมอยู่นานสองนาน ก็เลยต้องปล่อยให้นางไปกินก๋วยเตี๋ยวรอ ผ่านซุ้มประตูโขงโบราณเข้ามา เราจะเห็นบันไดทางขึ้นในภาพทันที สังเกตได้ว่าเราจะไม่ได้เห็นศิลปะล้านนาประยุกต์แบบวัดทั่วไป แต่ที่แห่งนี้อนุรักษ์ความเป็นอดีตของแท้ตั้งแต่ต้นทาง ในเวลานี้คือช่วงต้นปี อยากบอกว่าอากาศดีมากถึงมากที่สุดเลย พ้นจากบันได 2 ช่วงมาแล้ว เราก็จะเจอกับบันไดอีก 1 ช่วง สองข้างทางเดิน เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ให้ความร่มรื่นไปตลอดทาง บันไดนาคที่ไม่มีสีสัน แต่กลับให้ความขลังเข้ามาแทนที่ น่ามาอาศัยปฏิบัติธรรมอย่างมาก ถึงประตูโขงหน้าวัดกันแล้ว ถามว่าเหนื่อยไหม? สูงมากไหม? ก็ถือว่าไม่มากนะ เพราะการสร้างบันได จะมีพื้นที่ให้เราได้พักเป็นช่วง ๆ อยู่แล้ว แต่หากใครไม่ชอบเดินขึ้น ก็สามารถขับรถขึ้นมาได้ หรือใช้บริการรถรับส่งด้านล่างได้ คนละ 20 บาท ส่วนนี้คือจุดแรก ๆ ที่เราจะเดินเข้าไปด้านใน แต่จริง ๆ ด้านข้างทั้งซ้ายและขวา ก็จะมีหอพระธรรม วิหาร และโบราณสถานอื่น ๆ ให้เราได้เข้าไปชมตลอด 2 ทางเดินด้วย พวกเราเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงด้านสุด ๆ เพราะที่แห่งนี้คือ “ดอยบุษราคัม” ดังนั้นเราต้องตามไปดู ไปชมให้เห็นกับตา จริงไหม? “หอพระแก้วมรกต-พระทองคำ-พระบุษราคัม-งาช้างดำ” หลวงพ่อไพบูลย์ สุมงฺคโล ท่านคือผู้สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา เมื่อครั้งอดีตมีชาวบ้านมองเห็นแสงแก้ว ในทุกวันขึ้น 15 ค่ำ ที่บนยอดดอย เมื่อท่านเดินป่าเข้ามาดูก็พบ “บุษราคัม” ดังที่เราเห็นในภาพ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ดอยบุษราคัม” มีคนแปลกใจเหมือนเราว่า ทำไมยิ่งเดินเข้ามา คนยิ่งหาย เค้าหายไปไหนกันหมด ทั้งที่ด้านหน้าวัดก็เดินตามกันมาเยอะอยู่ เพื่อนเราให้ข้อสังเกตว่า เพราะที่แห่งนี้กว้างขวางมาก และมีจุดให้เราได้เที่ยวเยอะมากจริง ๆ ดังนั้น คนที่เดินตามกันมา ก็จะกระจายกันออกไป ซึ่งเราลงความเห็นกันว่า เป็นเรื่องที่ดี ทำให้การหยุดชมศาสนสถานทำได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเบียดเสียดกันเกินไป ดังเช่นที่จุดนี้ เป็นต้น มอสสีเขียวที่เกาะตามขอบบันไดนาคไปทั่วบริเวณ เป็นคำตอบได้อย่างดีว่า สถานที่แห่งนี้มีความชุ่มชื้นมากแค่ไหน แรก ๆ หากเรามองแบบทั่วไป ก็อาจจะสงสัยได้ว่าทำไม ไม่ตกแต่งให้สวยงามเปล่งประกายเมื่อแรกเห็น แต่ความคิดต้องเปลี่ยนไปทันที หลังจากเข้าไปเที่ยวชมด้านใน เป็นเพราะความชุ่มชื่นจากต้นไม้ใหญ่เหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้เราเห็นมอสเขียว ๆ แบบนี้ไปทั่ว “ดอยบุษราคัม” ภาพที่เห็น จริง ๆ แล้วยังไม่ครบถ้วนหรอกนะ ไม่ได้ครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำไป หากเพื่อน ๆ อยากทราบว่ายังมีอะไรอีก นอกจากในบทความนี้ คงต้องหาโอกาสมาสัมผัสเองแล้วล่ะ อยากให้มาชมธรรมะและธรรมชาติ ไปพร้อม ๆ กัน ณ ที่แห่งนี้ วัดอนาลโยทิพยาราม ดอยบุษราคัม อ.เมือง จ.พะเยา เราเชื่อว่าจะถูกใจสายธรรมแน่นอน