บุรุนดีไม่ใช่ประเทศท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวน้อยมาก แต่เป็นสถานที่ที่อธิบายความเป็นแอฟริกาได้ดีมากๆ ทั้งด้านของความเป็นอยู่ และวัฒนธรรม สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์การไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ไม่รู้ว่าจะเป็นบทความเชิงรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวได้หรือเปล่า แต่จุดประสงค์หลักๆแล้วคืออยากจะเล่าถึงประสบการณ์มุมมองการไปอยู่ต่างถิ่น ต่างที่ต่างเมือง แบบโหดๆ ถ้าเห็นหัวข้อบทความก็จะรู้ว่ากำลังจำพูดถึงประเทศแอฟริกาแน่ๆ ใช่ค่ะ เราจะเล่าถึงการไปอยู่ที่แอฟริกา ประสบการณ์ที่โหด มัน ฮา ที่สุดในชีวิต ขอเกริ่นก่อนว่าเมื่อประมาณปีที่แล้ว เรามีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศบุรุดี เชื่อว่าหลายๆคนไม่เคยได้ยินชื่อนี้แน่ๆ ไปเล่าให้ใครฟัง เขาก็งงกันยกใหญ่ ที่ไหนเนี่ย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยิน ประเทศบุรุนดีหรือสาธารณรัฐบุรุนดี เป็นประเทศทางด้านแอฟริกาตะวันออก อยู่ใกล้ๆกับประเทศรวันดาและแทนซาเนียค่ะ บุรุนดีไม่ใช่ประเทศท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวน้อยมาก แต่เป็นสถานที่ที่อธิบายความเป็นแอฟริกาได้ดีมากๆ ทั้งด้านของความเป็นอยู่ และวัฒนธรรม จริงๆแล้วแอฟริการมีหลากหลายแบบนะคะ ในแถบที่เจริญแล้วก็มี แต่สำหรับบุรุนดีถือว่ายังเป็นประเทศที่ต้องการการพัฒนาอีกมาก ก่อนเราจะไปที่นั้น มีการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตพบว่าบุรุนดีเป็นประเทศที่ยากจนติดอันดับต้นๆของโลก น่าจะเป็นอันดับ2-3ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันทำให้เราอยากที่จะไปดูว่ามันเป็นยังไง ซึ่งเราก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่บุรุนดีประมาณ4เดือน มันอาจจะเป็นระยะเวลาสั้นๆแต่ตอนที่อยู่มันรู้สึกถึงความยาวนานมากๆ อยากจะกลับบ้านทุกวินาที วินาทีแรกที่เจอคนผิวสี ตั้งแต่ยังไม่เหยียบแอฟริกา เราก็เจอกับกลุ่มคนผิวดำขนาดใหญ่ตั้งแต่ขึ้นเครื่อง เป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมาก ด้วยบุคลิกภายนอกที่ส่วนใหญ่คนแอฟริกาจะเป็นคนผิวสีเข้มที่โครงร่างใหญ่ และมีกลิ่นตัวที่แตกต่างจากคนเอเชีย ความไม่คุ้นชินกับให้เกิดความกลัวมากๆ (เราไปคนเดียว) เรารู้สึกตัวเล็กเป็นมดมากๆเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคนแอฟริกา เริ่มรู้สึกว่าเราคิดผิดหรือเปล่านะ ขนาดยังไม่ถึงยังกลัวขนาดนี้ แล้ว4เดือนที่เหลือจะทำอย่างไร บุรุนดีครั้งแรก วินาทีแรกที่มาถึงสนามบินบุรุนดี เหนือความคาดหมายจริงๆ เคยรู้มาว่าบุรุนดีเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็ไม่คิดว่าสนามบินจะเล็กขนาดนี้ สามารถที่จะจอดเครื่องบินได้แค่1-2ลำเท่านั้น ไม่มีคำว่าหลงทางในสนามบินแน่นอนค่ะ พื้นที่ที่จำกัดมากๆ ลงจากเครื่องเดินมาไม่กี่ก้าวก็เป็นประตูเข้าสู่ ตม แล้ว และนี่แหละค่ะจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่แอฟริกา ประสบการณ์ที่เราได้มาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตัวคนเดียวครั้งแรก สภาพแวดล้อมทั่วไป อารมณ์คล้ายต่างจังหวัดที่กันดารมากๆ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินแดงเยอะมาก อากาศร้อน คนส่วนใหญ่ยากจน อาชีพที่เห็นบ่อยๆก็จะมีการทำเกษตร เลี้ยงสัตว์ ค้าขาย และขอทานค่ะ ลืมบอกไปว่าเราอาศัยอยู่ในเมืองหลวงชื่อว่าบูจุมบูรา(Bujumbura) เพื่อนๆเราบอกว่าค่อนข้างเจริญและปลอดภัยกว่าพื้นที่ในต่างจังหวัด และที่บุรุนดีใช้ภาษาคิรุนดี ภาษาฝรั่งเศส และภาษาสวาฮีลี เป็นหลัก แต่ในบ้านที่เราอยู่ใช้ภาษาอังกฤษ เวลาออกไปข้างนอกก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษได้เยอะเหมือนกันค่ะ ซึ่งมันทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับคนข้างนอกเยอะมากๆ และมันกลายเป็นการเปิดใจที่จะไม่กลัวคนผิวสี พวกเขาน่ารักและชอบคนผิวขาวมากๆ เวลาออกไปข้างนอกกับกลุ่มเพื่อนเกาหลี จีน ก็จะชอบมีคนมอง และทักทายเรา เหมือนเราเป็นดาราเลย555 และแน่นนอนค่ะ กลายที่เราเป็นคนผิวขาวเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้น ทำให้เรากลายเป็นคน hot มาก ใครๆก็อยากคุยด้วย ใครก็ขอถ่ายรูป และอีกอย่างหนึ่งเลยคือพวกเขาไม่รู้จักประเทศไทยหรอกนะคะ น้อยคนมากๆที่จะรู้จัก พอเห็นพวกเราชาวเอเชีย เขาก็มักจะคิดว่าเป็นคนจีน ตะโกนเรียกและทักทายเป็นภาษาจีนตลอดเลย อาหารแอฟริกา อาหารการกินเป็นเรื่องที่ทำใจยากที่สุดแล้ว อาหารประจำที่คนแอฟริกากินทุกๆวันเรียกว่าอูกาลิ(Ugali) โดยจะใช้แป้งหรือบางวันจะใช้เป็นข้าว กินคู่กับผักเละๆ และถั่ว สำหรับเราคือไม่อร่อยเลย จืดสนิท ไม่มีรสชาติใดๆ ถั่วก็นิ่มและเละมาก ครัวที่เห็นก็จะเป็นครัวโซนด้านนอก ก่อฝืนก่อไฟในการประกอบอาหารกันเอง ถ้าถามว่าแล้วการใช้ครัวแบบนี้ อาหารที่เรากินเข้าไปจะสะอาดเหรอ ก็ต้องตอบตรงๆว่ามีไม่สะอาดบ้าง มีเศษฝุ่นเศษทรายบ้าง แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำใจยอมรับค่ะ เพราะด้วยความยากจน มีอะไรก็ต้องกิน อาหารบางอย่างตกพื้นดินไปแล้ว พวกเขาก็ยังเก็บมากินด้วยความเสียดาย อุการีนับว่าเป็นอาหารที่มีราคาถูกที่สุดในประเทศ เราโดนบังคับให้กินเป็นอาหารกลางวันทุกวันตลอด4เดือน บางวันที่มีโอกาสได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือไข่ต้ม จะรู้สึกดีใจ จำได้ว่าไข่ต้มเป็นเมนูที่เรากินแล้วรู้สึกว่าอร่อยที่สุดเลย แต่ด้วยความที่เราเกลียดอูกาลิ(Ugali) มาก เราก็แอบหนีออกไปซื้อของกินข้างนอกเป็นประจำ แต่ก็ใช่ว่าจะดีเพราะความกันดารของบุรุนดี มีเพียงร้านค้าที่เหมือนร้านขายของชำบ้านเราเท่านั้น ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีห้างสรรพสินค้า นอกเหนือจากอูกาลิ(Ugali) เราก็ซื้อพวกขนมปังกินบ้าง แม้มันจะไม่อร่อยมาก ไม่ได้หนานุ่มเหมือนบ้านเรา แต่ก็ดีกว่าต้องกินอุการี เรื่องอาหารการกินนี่แหละเรื่องที่ทุกข์ใจที่สุดเลยตั้งแต่อยู่มาเลยค่ะ แต่มันก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเรานะคะ อย่างเพื่อนชาวเกาหลีบางคนที่ยอมกินทุกวันเขาก็บอกว่าไม่ได้แย่ ถ้ามีโอกาสก็ลองกินกันดูนะคะ จริงๆแล้วทุกวันนี้เรายังคงคิดถึงอูกาลิ(Ugali) นะ ไม่ใช่ว่าอยากกิน แต่คิดถึงความรู้สึกที่ว่ามันไม่มีอะไรจะกิน หรือไม่สามารถจะกินในสิ่งที่เราอยากกินได้ คิดถึงความยากจนของคนที่นั้น ทำให้ทุกวันนี้เรากลายเป็นคนที่ไม่กล้าทิ้งอาหารเลย จะเสียดายอาหารมากๆ เรียกได้ว่าเห็นคุณค่าของอาหารมากขึ้น มันเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญที่เราได้กลับมา เด็กๆแอฟริกา ช่วงเวลาที่มีสนุกที่สุดและเหนื่อยที่สุดคือการทำ Saturday School ให้กับเด็กๆที่แอฟริกา ทุกวันเสาร์เราจะมีการสอนศาสนาและสอนภาษาให้กับเด็กๆ เราได้รับหน้าที่ในการสอนภาษาจีน เพราะพอที่จะมีทักษะด้านภาษาจีนอยู่บ้าง การสอนเด็กๆเป็นงานหินสุดๆ เด็กจะเข้ามากันเยอะ ทำให้คุมควบยากมากๆ ใครที่เคยเจอเด็กที่บ้านสถานสงเคราะห์หรือกลุ่มเด็กหลายๆคนในไทยเทียบเท่าไม่ได้เลยค่ะ ต้องยอมรับว่าพวกเขาหัวรุนแรงบ้าง ตีกันบ่อย ชอบขโมย ทั้งซนและดื้อที่สุดเลย ทุกวันเสาร์ทั้งเราและเพื่อนจะหัวเสีย หงุดหงิดกับการทำ Saturday School มากๆ แต่นอกเหนือจากความดื้อแล้ว มุมมองความน่ารักของพวกเขาก็มีเยอะเช่นกัน พวกเขาจะชอบมาเล่นกับเรา ทำผมให้เราบ้าง วาดรูปเล่นบ้าง มาขอขนมบ้าง ขอกอดเราบ้าง ความเด็กและไร้เดียงสาของพวกเขา ทำให้เราไม่สามารถที่โกรธพวกเขาได้นานเลย เพราะนิสัยบางอย่างที่ดูเหมือนไม่น่ารักมันก็เป็นเพราะสภาพแวดล้อมต่างๆที่หล่อหลอมหรือทำให้พวกเขาต้องเอาตัวรอด พอเห็นแบบนี้แล้วมันทำให้คิดว่าเราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในประเทศที่มีความพร้อม มีโอกาสดีๆมากกว่าพวกเขา หลายๆครั้งที่เรารู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น เราไม่ได้รวยหรือสวยเหมือนใคร ทำให้เอารูปเด็กๆที่มีรอยยิ้ม กลับมาดูเพื่อเพิ่มแรงบันดาลใจ ไม่ใช่อยากที่จะเปรียบเทียบว่าเราดีกว่าเขา แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเหมือนเรา แต่พวกเขายังใช้ชีวิตโดยที่มีรอยยิ้มได้ ซึ่งเราหวังมากๆว่าวิชาต่างๆหรือความเป็นระเบียบวินัยที่พวกเขาได้เรียนจาก Saturday School จะช่วยทำให้พวกเขาโตขึ้นแบบมีคุณภาพได้บ้าง จริงๆแล้วมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์เองนะคะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากเล่าเลยแต่กลัวว่ามันจะยาวไปและดูน่าเบื่อ555 ใครชื่นชอบชอบ รอติดตามภาค 2 ได้เลยคะ มีการเตรียมไว้แล้วว่าอยากพูดถึงวัฒนธรรม ประสบการณ์ถูกขอแต่งงานที่แอฟริกามาเล่าให้ฟัง สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ บทความนี้อาจไม่ได้รีวิวสถานที่สวยๆให้ทุกคนรู้สึกอยากไป แต่มันเป็นการบอกเล่าว่าการเดินทางมันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ การเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ การเที่ยวที่ไม่ใช่แค่การพักผ่อนแต่ใช้ความคิดในการสะท้อนออกมาเป็นแง่คิดต่างๆ (น่าเสียดายที่รูปประกอบอาจจะน้อยไปหน่อยเพราะเราไม่กล้าพกโทรศัพท์หรือกล้องไปด้วย กลัวโดนขโมย) หวังว่าทุกคนจะมีความสุขจากการอ่านนะคะ ภาพประกอบโดยนักเขียน (LINFANG)