การสร้างสะพานทั่วไปสักที่หนึ่ง คงใช้เวลาสร้างคงไม่เกิน 1 ปี แต่ถ้าเป็นการสร้างสะพานในป่าอาจจะใช้เวลามากกว่านั้น เพราะหลักๆ มาจากแรงศรัทธาในการสร้าง ไม่ได้เป็นโครงการรับเหมาจากที่ไหน ไม่มีเจ้าภาพสร้างผู้เดียวโดยตรง เพราะมาจากหลายแหล่งศรัทธา ไม่มีเวลากำหนดการสร้างที่แล้วเสร็จชัดเจน งบประมาณที่ยังขาดเหลือด้านอื่นๆ แม้จะมีวัสดุก่อสร้างแล้ว อีกทั้งเป็นช่วงเวลาระหว่างโรคระบาดที่ผ่านมาอีกด้วย การสร้างสะพานแห่งนี้จึงล่าช้าไปจากความตั้งใจของชาวบ้านไปมาก ความสำเร็จแรกก็คือการสร้างเสาและพื้นทางขึ้นลงทั้ง 2 ฝั่ง เหลือแต่ช่วงเชื่อมกลางสำหรับเดินทางเป็นหลักที่ต้องใช้ลวดสลิงในการดึงเพื่อยึดตัวสะพาน แต่ก็มาสำเร็จได้ในปีที่ 6 จึงเป็น 6 ปีที่รอคอยของชาวบ้าน ที่จำเป็นต้องใช้สัญจรก่อนฤดูฝนเต็มตัว เนื่องจากหมู่บ้านเกาะสะเดิ่ง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี อยู่กลางป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก เมื่อถึงฤดูฝน ไม่สามารถสัญจรทางถนนรถยนต์ได้ เนื่องจากน้ำหลาก เส้นทางต้องข้ามน้ำหลายจุดจึงมาใช้เส้นทางสำรองด้วยรถจักรยานยนต์แทน แต่ถนนหลายๆ จุดก็มีความยากลำบากในการขับขี่ ยิ่งไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำที่แข็งแรงเพียงพอก็อาจจะทำให้เกิดความลำบากกับชาวบ้านได้เสมอ เช่น เวลาเจ็บป่วย ออกมาซื้อของจำเป็นในครัวเรือน หรือแม้แต่การออกมาทำธุระต่างๆ ฯลฯ การมีสะพานที่แข็งแรง จึงจำเป็นอย่างยิ่ง "ลุงธง" จึงเป็นหัวเรือใหญ่ฝ่ายชาวบ้านที่ขับเคลื่อนในการสร้างสะพานในครั้งนี้ ไม่มีพื้นฐานด้านวิศวะโดยตรง มีแต่ภูมิปัญญาจากป่าใหญ่ แต่ตอบช่างที่มารับทำด้วยคำตอบแค่อยากได้สะพานแบบ "สวยและแข็งแรง" ก็พอ และวันนี้ภาพนั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้วในวันนี้วันนี้สะพานแห่งศรัทธาได้สำเร็จแล้ว ชาวบ้านจึงได้มาช่วยกันทำบุญกรวดน้ำ โดยมากันจากหลากหลายหมู่บ้านที่ใกล้เคียงทั้งระดับตำบลและอำเภอของหมู่บ้านเกาะสะเดิ่ง ที่เป็นเจ้าภาพหลัก ศรัทธาหลั่งไหลมาจากหลายๆ ที่ ผู้ที่มาส่วนใหญ่ได้มาเป็นจิตอาสามาช่วยทำสะพานระหว่างที่ยังไม่สำเร็จ อาสาเป็นช่างเชื่อม ช่างทาสี แบกเหล็ก ดึงลวดสลิง ฯลฯ มาช่วยช่างใหญ่ที่มีเพียงคนเดียว มีทั้งพระ ชาวบ้าน หมอ ผู้นำชุมชน ครู นักเรียน เยาวชน แม่บ้าน นักข่าว คนขับรถขนส่งอุปกรณ์ หลากหลายอาชีพที่มาเป็นจิตอาสาเป็นลูกมือให้ ฯลฯ ตามแต่ที่สะดวกในแต่ละวันด้วยแรงแห่งศรัทธา บางส่วนก็ช่วยบริจาคทรัพย์ บางส่วนก็ช่วยเรื่องเสบียงให้คนมาทำ บางส่วนก็มาร่วมทำทั้งกลางวันและกลางคืนจนสำเร็จในวันนี้ ความอิ่มเอมใจจึงเกิดขึ้น เพราะหากไม่มีสะพานนี้ ชาวบ้านก็ยังคงต้องทำสะพานไม้ไผ่ชั่วคราวปีต่อปีอีกเสมอ ที่มีอันตรายเกิดขึ้นได้เสมอชาวบ้านทะยอยกันมาแต่เช้าของวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา บ้างก็เดินทางทางรถจักรยานยนต์ บ้างก็เดินเท้าไป บ้างก็มาทางรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ มุ่งมายังสะพานที่ทุกคนรอคอยอยากมาร่วมทำบุญกรวดน้ำ บ้างก็นำข้าวหม้อแกงหม้อมาร่วมถวายพระ นำน้ำดื่ม น้ำแข็งมาร่วม นำขนมมาร่วม แต่งกายด้วยชุดท้องถิ่น ตั้งกองผ้าป่าขึ้นเพื่อถวายให้กับทางวัดบ้านเกาะสะเดิ่งได้ใช้เป็นศาสนประโยชน์ต่อไป เวลาราว 10 นาฬิกา พระสงฆ์ที่นิมนต์มาก็ถึงสะพาน ได้เจริญพระพุทธมนต์ ชาวบ้านได้ใส่บาตร จากนั้นก็ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ เมื่อฉันเพลเสร็จ ก็ร่วมกันถวายต้นพุ่มผ้าป่า และจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์จำนวน 8 รูป สามเณรอีก 4 รูป แล้วชาวบ้านก็ตั้งจิตอธิษฐานกรวดน้ำรับพร ทั้งอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่มีส่วนร่วมในการทำสะพานในครั้งนี้ เจ้าที่เจ้าทาง เทวดาที่ดูแลสถานที่ ตลอดจนจนผู้มีส่วนร่วมบุญในครั้งนี้ทุกๆ คนให้ได้รับผลบุญกันถ้วนหน้า เมื่อเสร็จพิธี ก็ได้ให้พระสงฆ์และสามเณรได้ใช้สะพานนี้ก่อนใคร ด้วยการพาพระสงฆ์และสามเณรทั้งหมดไปส่งที่วัดตามที่ได้นิมนต์มา ทั้งจากวัดบ้านกองม่องทะที่อยู่ใกล้เคียง วัดบ้านคลิตี้ ที่อยู่อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นมงคลตามเป้าประสงค์ของเจ้าภาพหลักที่ได้ทำบุญบนสะพานจริงๆ จากนั้นชาวบ้านก็ขึ้นไปร่วมเดินชมทิวทัศน์ริมน้ำ 2 ฝั่งที่สวยงามตามธรรมชาติ ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก บางส่วนก็มารับประทานอาหาร บางส่วนก็ช่วยกันเก็บของรอบๆ งาน บางส่วนก็เดินทางกลับด้วยการใช้สะพานใหม่เลยสะพานแห่งนี้มาจากศรัทธาที่ได้ร่วมช่วยกันสร้างแห่งนี้ทั้งคนในพื้นที่และนอกพื้นที่ ทุกคนนำความสุขและรอยยิ้มกลับไป แต่สะพานแห่งนี่ก็ยังมีความสุขและรอยยิ้มแจกให้ตลอดทุกครั้งที่ได้มาใช้สะพานกลางป่าริมน้ำโรคี่แห่งนี้ เพราะสะพานแห่งนี้คือ สะพานบุญ...สะพานแห่งศรัทธา...และสะพานแห่งความสามัคคีของทุกๆ คน พิกัด : Wat Ko Sadoengทุกภาพประกอบ โดยผู้เขียนแชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”