....แม้จะมี "วิธีคิดต่างกัน" แต่ทุกวิธีคิดที่ถูกนำไปปฏิบัติล้วนต้องอาศัยความกล้าหาญ การ "คิดต่าง" จึงไม่ใช่ "คิดผิด" แต่ "คิดทำลาย" ต่างหากที่ "คิดผิด" เราเป็นอย่างที่เราเป็น เพราะมีองค์ประกอบมากมายให้ก่อเกิดเป็นเรา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เราจึงไม่ได้โดดเดี่ยวหรืออยู่ตัวคนเดียวโดยแท้จริง…. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ถือว่าเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติลำดับต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปรู้จักดีและเป็นพื้นที่ที่นักประวัติศาสตร์ในทางการเมืองยกย่องให้เป็นสถานที่สำคัญลำดับต้น ๆ สำคัญของการลงพื้นที่เรียนรู้ซึมซับความรู้สึกของช่วงหนึ่งประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางความคิดของกลุ่มคนที่มีความรักชาติเฉกเช่นเดียวกัน บนแนวเทือกเขาที่ทอดยาวครอบคลุมรอยต่อ 3 จังหวัดคือ เพชรบูรณ์ เลยและพิษณุโลกนั้น “ภูหินร่องกล้า” นับว่าเป็นเทือกเขาที่มีความสลับซับซ้อนน้อย ไม่สูงชันมากนัก มีพื้นที่ราบค่อนข้างเยอะ ป่าไม้ก็รกครึ้ม น้ำไหลเย็นทั้งปี และยุทธศาสตร์ด้านภูมิประเทศที่สามารถมองเห็นพื้นที่ลุ่มโดยรอบอย่างชัดเจน จึงเป็นตัวเลือกสำคัญให้เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มคนรักชาติที่เห็นต่าง ทุกวันนี้ แม้เรื่องราวบนภูหินร่องกล้า จะถูกนำเสนอในแง่ของแหล่งท่องเที่ยว ธรรมชาติ อากาศดี ความสวยงาม วิวทิวทัศน์ที่อลังการและบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติก แต่ร่องรอยที่ฝังแน่นอยู่บนพื้นดิน ลานหิน กิ่งไม้และสายลม คือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ความคิดและการสู้รบของคนในชาติเดียวกันที่ลูกหลานอย่างเราจะหลงลืมไปไม่ได้ หนังสือหลายเล่มได้จารึกอักษรเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์บนนี้ไว้หลากหลายมิติ ลำพังการอ่านหนังสืออาจจะทำให้เห็นภาพบางอย่างที่ผู้เขียนอยากเล่าในมุมมองของตนเองเท่านั้น แต่การได้ลงพื้นที่จริง จะทำให้รับรู้และเข้าถึงอารมณ์จิตวิญญาณของสถานที่แห่งนั้นอย่างละเมียดละไมมากขึ้น จุดมุ่งหมายของการไปในครั้งนี้ จึงโฟกัสไปที่ 2 จุดสำคัญ คือ ลานบูชาบรรพบุรุษหรือสุสานนักรบและผาชูธง ก่อนจะเดินเท้าไปจุดหมายทั้ง 2 แห่ง ที่จุดจอดรถซึ่งเรียงรายไปด้วยเพิงร้านค้าขายของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องประดับและดอกไม้ และเตรียมบุหรี่ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีในกลุ่มว่าต้องพกไปด้วย เส้นทางเดินเท้านั้น ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยความสะดวกสบายอย่างที่คนทั่วไปคิด แต่จะต้องใช้ลำแข้งและกำลังขาพร้อมกับจิตใจที่มุ่งมั่นจึงจะไปถึงจุดนั้นได้ ความร้อนของแดด ความลื่นของตะไคร่น้ำบนลานหินและแมลงป่าที่บินวนรอบหัว อาจทำให้อารมณ์เสียจนไปต่อไม่ได้ แต่บุหรี่ก็ยังไม่ได้มีไว้เพื่อสูบไล่แมลงพวกนั้นหรอกนะ ณ “สุสานนักรบ” (ชื่ออย่างเป็นทางการ) หรือลานบูชาบรรพบุรุษ (เสียงเรียกจากสหาย) สิ่งที่ผมเห็น คือ เรือนร่าง ซากกายของบรรพบุรุษนักรบผู้คิดต่าง ที่กลาดเกลื่อนซ้อนทับกันทั่วไปในบริเวณแห่งนี้ ผมปักกิ่งไม้แห้งที่หาได้แถวนั้นและจุดบุหรี่เพื่อระลึกถึงรุ่นพี่สหายในอดีตด้วยความนอบน้อม เป็นความจริงที่ว่าบุหรี่คือสารเสพติดชนิดหนึ่ง แต่มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดความรู้สึกกดดันของสหายหลาย ๆ คน ที่ต้องนั่งกอดปืนจ้องมองผืนป่าเบื้องล่าง ฟังเสียงปืนและลำแสงลูกไฟที่พุ่งขึ้นลงจนไม่อาจแม้แต่จะกะพริบตาในช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในขณะนั้น (จุดบุหรี่สักครู่ ดับและเก็บก้นบุหรี่กลับด้วย) จากจุดนี้ไปไม่ไกล ซึ่งเป็นที่หมายปองของนักท่องเที่ยวว่าจะไปพิชิตให้ได้สักครั้ง นั่นคือ “ผาชูธง” ในอดีตกลุ่มก้อนหินขนาดใหญ่ริมผาแห่งนี้ เป็นที่ปักธงสีแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่มีชัยชนะเล็กน้อยโดยรอบเทือกเขาเกิดขึ้น ธงจะถูกชักขึ้นเพื่อข่มขวัญอีกฝ่ายและสร้างแรงฮึกเหิมให้อีกฝ่าย แต่ทุกวันนี้ ธงที่ชูขึ้นเป็นธงอีกผืนหนึ่ง เป็นธงที่พยายามเชื่อมโยงความเป็นหนึ่งเดียวของคนทั้งชาตินั่นคือธงชาติไทย สีแดงคือสีเลือดของบรรพบุรุษ สีขาวคือสีแห่งความรักในชาติอันบริสุทธิ์ และสีน้ำเงินคือสีแห่งแห่งความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ประหนึ่งว่า สถานที่แห่งนี้เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ของผู้เห็นต่างอย่างเช่นในอดีต ธงที่ผมมองเห็นปัจจุบันนี้ จึงไม่ใช่ธงชาติไทยหลากหลายสี แต่เป็นธงที่ว่างเปล่า ปราศจากสีสัน ไม่ว่าจะสีอะไรก็ตาม ผืนธงนั้นยังคงพลิ้วไหวตามแรงลม ไม่ได้หยุดนิ่งตั้งตรงเหมือนเสาธง นั่นหมายความว่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางความคิดยังคงคุกรุ่นและต่อสู้ในตัวเองอยู่เสมอ แม้เสรีภาพ ภราดรภาพและเสมอภาพซึ่งโหยหากันมายาวนานจะยังไม่ได้ถูกสถาปนาอย่างเต็มที่ก็ตาม ที่ตั้ง : อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก อยู่ห่างจากด่านภูทับเบิก ราว 27.5 ก.ม. (ทางหลวงหมายเลข 2331 ทับเบิก-นครไทย) ค่าเข้าอุทยานฯ : ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท เวลาเปิด-ปิด : 06.00-17.00 น.(เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว) ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี