ภูสอยดาว แม้ในวันที่ไม่มีดาว ก็ยังคงสวยงาม วันหนึ่งในช่วงหน้าฝน ทั้งเบื่อทั้งเหงา ไถหน้าเฟสบุ๊คไปอย่างเรื่อยเปื่อย แต่แล้วก็มาสะดุดกับโพสต์ "ทริปหารเฉลี่ยภูสอยดาว 2 วัน 1 คืน"ของเพจ ๆ หนึ่ง "เห้ยยย.. น่าสนใจอ่ะ" แล้วตอนนั้นสมาชิกก็ใกล้เต็มแล้ว เราเลยรีบทักพี่เขาไปลงชื่อ เรียบร้อย! ทริปคิดน้อย ตัดสินใจปุบปับจึงเกิดขึ้นค่ะ หลังจากลงชื่อเสร็จสรรพ ก็เพิ่งจะมาหาข้อมูล มานั่งอ่านรีวิวว่า อืมม.. สถานที่ที่จะไปเป็นยังไงนะ ภูสอยดาว ตั้งอยู่ในพื้นที่สองจังหวัดด้วยกัน คือ จังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดพิษณุโลก ภูสอยดาว เป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทยเลยนะ ภูสอยดาว จะต้องเดินเท้าเข้าไปในป่า เป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 4-6ชั่วโมง แล้วแต่กำลังขา ภูสอยดาว ด้านบนจะเป็นลานสนกว้าง ๆ ถ้าไปช่วงหน้าฝน จะเจอดอกหงอนนาคสีม่วง บานต้อนรับเราด้วยนะ ภูสอยดาว ระหว่างทางเดิน จุดพัก และบนลานสน ไม่มีร้านค้าใด ๆ จะต้องเตรียมเสบียงไปเอง น้ำเปล่านี่พกไปเยอะ ๆ เลย ภูสอยดาว จะมีห้องน้ำบนลานสน แต่ไม่มีน้ำนะจ๊ะ ต้องไปตักจากลำธารใกล้ ๆ มาเอง พอถึงวันไป ก็รีบจัดกระเป๋า แล้วไปจุดนัดพบ เตรียมขึ้นรถ ครั้งนี้มีสมาชิกไปด้วยกัน 10 ชีวิต เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มีจุดหมายเดียวกัน นี่แหละ เสน่ห์ของการเดินทางสินะ ;) ช่วงเช้ามืด เรามาแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของสดสำหรับทำอาหารในค่ำคืนที่จะถึงนี้ จากนั้นก็เดินทางต่ออีกสักพัก ก็ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เราก็จัดแจงชั่งน้ำหนักกระเป๋า ลงทะเบียนเพื่อขึ้นภู และจ่ายค่าธรรมเนียม 30 บาท จะบอกว่า วันที่เราไปเป็นวันที่ภูสอยดาวเปิดวันแรก และเราเป็นกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปชมความสดใหม่ เขียวชอุ่มของป่าแห่งนี้ด้วยแหละ สิ่งที่ควรเตรียมไป สำหรับนอนค้างบนภู เต้นท์ ถุงนอน หมอน ผ้าห่ม (ที่อุทยานมีให้เช่านะคะ แต่ราคาสูงนิดหน่อย) เสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว ไฟฉาย สำคัญมาก เพราะข้างบนไม่มีไฟฟ้า ยากันยุง ยาแก้ปวดเมื่อย ยาประจำตัว ทิชชู่ และถุงพลาสติกไว้ใส่ขยะ อย่าลืมพกของกินระหว่างเดิน เพราะจะเหนื่อยและหิวมาก ๆ ควรพกน้ำไปหลาย ๆ ขวด หลังจากลงทะเบียนเสร็จสรรพ ก็กระโดดขึ้นกระบะ ไปจุดเริ่มเดินกันเล้ยยสำหรับเส้นทางพิชิตลานสน ทุ่งดอกหงอนนาค เราจะต้องผ่านเนินทั้งหมด 5 เนิน เนินส่งญาติ ส่งญาติของจริง เพราะขอกลับก่อนนะ ไม่ไปต่อแล้วนะ เนินปราบเซียน มีแต่บันได บันได และบันได ปราบเซียนสุด ๆ เนินป่ากอ เต็มไปด้วยป่าไผ่ ทางค่อนข้างเรียบ ไม่ชันมาก เนินเสือโคร่ง ไม่เจอเสือ แต่จะเหนื่อยโฮก ๆ เนินมรณะ อยากจะมรณะสมชื่อ เมื่อมองจากเนินนี้ จะเห็นเขาอีกลูกใกล้ ๆ นั่นแหละค่ะ เราต้องขึ้นไปบนนั้น ตายแปบ มาเริ่มที่ทางเข้า เราจะต้องเดินเลาะไปตามทางน้ำตก เย็น สดชื่นมาก แล้วก็มาถึงจุดวัดใจจุดแรก คือ สะพานไม้ไผ่ข้ามน้ำตกนั่นเอง ต้องใช้ความสามารถในการทรงตัว แต่ยังดีที่มีราวไม้ไผ่เล็ก ๆ ให้จับค่ะ ต่อกันด้วยเนินส่งญาติค่ะ ระหว่างเดินก็อย่ารีบเดินมากนะ ค่อย ๆ เดินชื่นชมธรรมชาติตามทางด้วย กำลังเติบโต ผลิบาน สวยสดชื่นมากค่ะ ต่อกันด้วยเนินปราบเซียน แต่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีรูปให้ชมกัน เพราะขึ้นบันไดกันขาแข็ง หน้าทิ่มและเหนื่อยโฮก ๆ นั่งพักสักแปบ สองแปบ สามแปบ เราก็เดินต่อมาที่เนินป่ากอค่ะ เป็นเนินป่าไผ่ ทางค่อนข้างราบ ทางโอเคสุดแล้ว แต่ระหว่างทางก็มีฝนตกปรอย ๆ นิดหน่อย ก็หน้าฝนนี่เนอะ อย่าลืมเตรียมเสื้อกันฝนไปกันด้วยนะคะ จากนั้นก็มาที่เนินเสือโคร่ง เริ่มขึ้นมาที่สูงแล้ว เริ่มมองเห็นวิวสวย ๆ ฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมเย็น ๆ สดชื่นมาก ๆ ในที่สุดก็มาถึงเนินสุดท้าย เป็นที่เลื่องลือกันมามาก "เนินมรณะ" นั่งเองค่ะ ทั้งสูงทั้งชัน ตอนเดินนี่ทั้งต้องพึ่งไม้ช่วยพยุง ใช้มือช่วยจับช่วยปีน หมดพลังมาก ๆ กว่าจะขึ้นไปถึงข้างบน ในที่สุด ความพยายามก็ไม่เหนื่อยเปล่า เรามาถึงลานสนแล้วค่ะ เย่! โชว์ป้ายให้ชื่นใจกันหน่อยแต่พอเห็นป้ายแล้ว การเดินทางก็ยังไม่จบนะ เราต้องเดินไปที่ลานกางเต้นท์ค่ะ ระยะทางไม่ไกลมาก ระหว่างเดินไปก็พบกับทุ่งหงอนนาค ที่บานต้อนรับเราด้วย หลังจากเอาของไปเก็บ อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เราก็มาเตรียมอาหารเย็นกัน ซึ่งระหว่างเตรียม ฝนก็ดันเทลงมา หนาวมาก เย็นยะเยือกไปหมด เราจึงแยกย้ายกันกลับเข้าเต้นท์ของตัวเอง นอนหลับพักผ่อน เพราะเหนื่อยกันมาทั้งวัน พอรุ่งเช้า หมอกลงหนามาก แทบจะมองไม่เห็นอะไร ถึงหมอกจะลงหนา จนเรามองไม่เห็นดาว ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่มันก็สวยไปอีกแบบนะ เหมือนเราอยู่ในดินแดนที่ไหนสักที เหมือนอยู่ในห้วงความฝันที่คละคลุ้งไปด้วยควันสีขาว ทุ่งดอกหงอนนาคท่ามกลางไอหมอก มีเสน่ห์มาก ๆช่วงสาย ๆ เราก็ต้องกลับมาช่วยกันเก็บของ เก็บขยะทั้งหมดใส่ถุงลงไปทิ้งด้านล่าง ก่อนจะเดินทางลงภู เราก็ถ่ายรูปเล่นกัน คนแปลกหน้าที่มาเจอกัน ช่วยเหลือกัน หัวเราะเฮฮาด้วยกัน เป็นความทรงจำที่ดีและมีค่ามากมาย :) ภาพหน้าปกและภาพประกอบทั้งหมด โดยผู้เขียน