วันนี้ได้โอกาสตื่นเช้าสักครั้ง เลยถือโอกาสลงไปเดินรอบ ๆ เมืองลูเซิร์น ผมไม่เคยออกมาเดินตอนเช้าเลย โดยเฉพาะฤดูหนาว ช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นช้า เลยไม่รู้ว่าควรจะคาดหวังอะไรบ้าง คำตอบคือ เหมือนเดินตอนกลางคืนเลย เงียบสนิท ร้านค้ายังไม่เปิด ถนนก็ไม่มีคนเดิน ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของผม เช้าวันนั้นผมได้เดินไปที่สะพานชาเปลอีกรอบ คราวนี้มาตอนเช้า ไม่มีคนอยู่บนสะพานเลยนอกจากผม ได้บรรยากาศน่าถ่ายรูปมาก แต่ว่าพอไม่มีคนเดินเลยนอกจากผม ก็ไม่มีคนถ่ายรูปให้ (ไม่เซลฟี่ก็ไม่ได้เอามาอีก ไอ้บ้าาาา 55555) หลังจากเดินชมเมืองไปสักพัก ก็กลับไปทานข้าวเช้าที่โรงแรม ก่อนที่จะออกเดินทางไปเมืองอันเดอร์มัท ซึ่งไกด์ของผมบอกไว้ว่าถนนที่จะไปอันเดอร์มัทค่อนข้างคดเคี้ยว แล้วความที่ผมเป็นคนเมารถง่ายด้วย ผมเลยทานยาแก้เมา แพลนว่าจะไปตื่นอีกทีที่อันเดอร์มัทเลย สรุปว่าเป็นไง ไม่หลับ… 😂 ผมก็เลยต้องดูวิวรอบ ๆ ไประหว่างขึ้นเขา หลังจากขึ้นไปแล้ว ทางไกด์เราก็ปล่อยให้เราเดินถ่ายรูปตามสบาย แล้วนัดเจอกันที่ร้านอาหารตอนเที่ยงครึ่ง ก็ได้เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ เดินไปก็ต้องระวังลื่นไป เมืองอันเดอร์มัทเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ผมชอบมาก ๆ ถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ตาม แต่เป็นเมืองเล็ก ๆ คล้ายกับอินเทอร์ลาเก้นที่ไปวันแรก ไปแล้วก็อยากไปอยู่อีกสักสัปดาห์ หลังจากถ่ายรูปไปสักพัก ก็ต้องรีบเดินตรงไปที่ร้านอาหาร (หิวเหรอ? เปล่า มือแข็ง 5555) ทีนี้ผมยังไม่ได้บอกเลยว่ามาอันเดอร์มัททำไม วันนี้ทัวร์ผมจะพาขึ้นรถไฟ Glacier Express เริ่มที่สถานีอันเดอร์มัท Glacier Express ขึ้นชื่อว่าเป็นรถไฟความเร็วสูงที่ช้าที่สุดในโลก (งงไหมละ ความเร็วสูงที่ช้าที่สุด (ไม่เป็นไร ผมก็งง 55555)) ไกด์ผมตอนแรกบอกว่าจะได้ขึ้น Business class ของรถไฟ แต่ว่าไป ๆ มา ๆ ได้ขึ้น First class เพราะไกด์ผมบอกว่า Business Class เต็ม (ไม่รู้พูดจริงพูดเล่นนะ 55555) ขึ้นไปบนรถไฟแล้ว ผมเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเรียกว่า First class ที่นั่งรถไฟจะแบ่งเป็น 2-4 โดยที่ฝั่งซ้ายจะเป็น 2 ที่นั่งหันหน้าชนกัน แล้วมีโต๊ะให้สำหรับทานอาหาร ส่วนฝั่งขวาจะเป็นสองที่นั่งชิดกัน แล้วหันไปชนกับอีก 2 ที่นั่ง โดยมีโต๊ะกั้นอยู่เช่นเดียวกัน ขึ้นไปแล้วก็จะมีพนักงานมาแจกใบปลิว แม็กกาซีน และหูฟังให้คนละชุด บางคนอาจจะสงสัยว่าหูฟังให้มาทำไม เพราะว่าข้าง ๆ ที่นั่ง มีช่องเสียบหูฟัง ให้เราฟังวิทยุด้วย วิทยุบนรถไฟจะมีอยู่ 8 ช่อง แต่ว่าวันนั้นที่ผมไป มีอยู่แค่ 2 ช่องที่ฟังได้ ช่องหนึ่งเป็นเพลงคลาสสิคสไตล์สวิส อีกช่องหนึ่งน่าจะเป็นข่าวภาษาเยอรมัน อันนี้จำไม่ได้เหมือนกัน ระหว่างทาง ก็ได้นั่งฟังเพลงไป กินช็อคโกแลตไป แล้วก็ชมวิวทิวทัศน์ของสวิตเซอร์แลนด์ เอาง่าย ๆ คือ “นั่งไปแล้วก็มีความสุข” พอนั่งไปสัก 1 ชม. ก็มีพนักงานมาแจกของว่างให้ มีแครกเกอร์ช็อคโกแลตกับแครกเกอร์กาแฟให้ทานกัน 1 โต๊ะได้ 1 จาน ใครชอบอันไหน หยิบไปเลย หลังจากนั้นผมก็เดินไปด้านหน้าของ First class ที่เป็นรถตู้อาหาร เปิดดูเมนูที่เขาใหญ่มา แล้วก็สั่ง Calanda Radler มาขวดนึง เผื่อใครสงสัยว่ามันคืออะไร อธิบายง่าย ๆ คือเบียร์กลิ่นผลไม้ แต่ว่าจะผสมแอลกอฮอล์น้อยกว่าเบียร์ทั่วไป บนรถไฟขวดหนึ่งตกอยู่ที่ราคา 6 Franc หรืออยู่ที่ประมาณ 180-190 บาท หลังจากนั่งไปอีกประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็มาถึงอีกเมืองหนึ่งที่ชื่อว่าเมืองเซอร์มัท อารมณ์เดียวกับอันเดอร์มัทเลย ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็ก ๆ ต่างกันที่ว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่นักสกีจากทั่วโลกเขาชอบมาพักกัน ซึ่งนั่นทำให้กรุ๊ปผมจองโรงแรมไม่ได้ เพราะโรงแรมเต็มทั้งเมือง เมืองนี้มีความพิเศษอย่างหนึ่ง เมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ คือเขาจะไม่ให้เราเอารถเข้าไปในเมือง นอกจากว่าจะเป็นรถไฟฟ้า เพื่อลดมลพิษทางอากาศ ถือว่าเป็นคอนเซ็ปท์ที่ดี (อีกเหตุผลคือ เมืองเขาก็เล็ก ๆ อยู่แล้ว เดินประมาณ 20 นาทีก็สุดเมืองแล้ว) หลังจากลงรถไฟ ก็ได้เดินรอบเมืองเซอร์มัท ซึ่งถือว่าค่อนข้างครึกครื้นพอสมควร เนื่องจากว่าวันนั้นเป็นวันสิ้นปี 2019 พอดี ผู้คนทั้งหลายเลยออกมาสังสรรค์กัน ก่อนที่จะไปทานอาหารเย็น แล้วนั่งรถไฟไปที่สถานี Täsch เพื่อที่จะนั่งรถบัสไปที่โรงแรม Hotel Ibis สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรงแรมนี้คือ 1. โรงแรมที่ผมไปพัก ยังไปมาไม่ถึง 1 สัปดาห์เลย จึงมีสภาพใหม่มาก (ใหม่ถึงขั้นได้กลิ่นสีบนผนัง 5555555) 2. ตรงพื้นที่ล็อบบี้มีโต๊ะให้เด็กนั่งเล่นกัน ส่วนใหญ่ จะเป็นพวกเกมเสริมความคิด สร้างจินตนาการให้กับเด็ก แต่กดไปกดมาสักพัก เอ้าเห้ย มี Russian Roulette ด้วย 😂 3. อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นทุก Ibis หรือเปล่า แต่ว่าที่นี่จะไม่มีโต๊ะ Reception ต้อนรับเรา แต่จะเป็นคอมพิวเตอร์กับไอแพด อย่างละเครื่อง เพื่อให้การเช็คอินสะดวกสบายขึ้น หลังจากเก็บของและทำธุระทุกอย่างแล้ว ก็เดินออกไปข้างนอก ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่กัน แต่ปัญหามีอยู่อย่างเดียว เมืองนี้คนไม่เยอะ เลยไม่มีการจัดงานกัน เลยต้องดูพลุรอบ ๆ แล้วกะประมาณว่าปีใหม่เมื่อไร หลังจากเดินไปสักพัก ถ่ายรูป เคาท์ดาวน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กำลังเดินกลับไป แล้วมีคนอยู่บนอพาร์ตเมนต์โยนพลุลงกลางถนน ผมแบบ “เห้ย แบบนี้ก็ได้เหรอ” แล้วก็วิ่งหนีเหมือน Usain Bolt เข้าสิง ก่อนที่จะกลับไปนอนที่โรงแรม เครดิตภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน