ออกเดินทางจากห้องสี่เหลี่ยม สู่สถานที่อันสูงและหนาวเย็น ใช้เวลาในการเดินทางประมาณสามชั่วโมง โดยรถส่วนตัว การเดินทางค่อนข้างที่จะผจญภัยเพราะถนนที่มุ่งหน้าสู่หุบเขาแห่งนี้นั้นไม่ได้ถูกดัดแปลงหรือจัดแต่งโดยคอนกรีต เราเดินทางผ่านดินสีแดงและทรายขาวโพลน สถานที่ที่เราเดินทางไปกันนี้ มีชื่อว่า คีรีรมย์ ในภาษาเขมร ถ้าแปลเป็นไทยหุบเขาแห่งความสุข เป็นสถานที่ภูเขาล้อมรอบไว้ พนมเปญแม้จะแปลว่า ภูเขา แต่ภายในกรุงพนมเปญนั้นไม่มีภูเขา มีเพียงภูเขาที่เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นโดยยายเปญ สองข้างทางเหมือนเราเที่ยวยุโรปมากระหว่างทาง ถูกธรรมชาติสร้างให้ สนสามใบ เรียงรายสองข้างทาง อากาศยิ่งเราเดินทางเข้าป่าลึกมากเท่าไหร่ ยิ่งเย็นมากขึ้นเท่านั้น ตอนที่ขับเข้าไปในป่าสนครั้งแรก จะมีเด็กและชาวบ้านคอยโบกตลอดทาง เพื่อจะขายมงกุฏดอกหญ้าให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อใช้ในการถ่ายภาพ อันละ 5000 เรียล คนในรถจอดและซื้อมาหนึ่งอัน มาเปลี่ยนกันถ่ายภาพเพื่อความประหยัด ดอกไม้ที่นำมาสานต่อกันเป็นมงกุฏนั้น คือดอกไม้ที่อยู่ในบริเวณป่า และเป็นดอกไม้สด ผู้เขียนเห็นแล้วนึกถึงเพลง ดอกไม้ในป่าปูนเลย ของต่ายอรทัย กลุ่มของพวกเราไปด้วยกัน เจ็ดคน และมีกลุ่มของน้องๆที่เพิ่งเรียนจบแบบป้ายแดง นำชุดครุยมาถ่ายภาพด้วย ภูเขาแม้จะสูงหนทางไม่ได้สบาย แต่ก็ยังมีกลุ่มหญิสาววัยรุ่น ที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขามาเที่ยว สงสัยจะเขย่าจนระบมไปทั้งตัวอย่างแน่นอน ขนาดกลุ่มของพวกเรานั่งรถตู้ก็ยังโยกจนทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน และไม่นานเกินรอ หลับได้สองตื่น พวกเราก็ถึงกับว้าว กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า คนขับรถจอดให้ลงถ่ายภาพ ป่าสนสามใบ ท้องฟ้าสวยมาก ตรงนี้เราออกจากป่าแล้ว กำลังจะเข้าเขตของน้ำตก สถานที่แห่งนี้มีหลายชั้น แต่เราจะเดินทางไปทานอาหารที่ชั้นที่สอง ชั้นนี้มีน้ำตกที่ไหลมาจากเขา น้ำจะเย็นเฉียบ แต่กว่าพวกเราจะถึง พวกเราก็แวะถ่ายภาพกันให้หนำใจ เพราะสองข้างทางสวยงามตระการตามาก สำหรับคนที่อยู่ในเมืองมาปีกว่าไม่ได้ออกมาชมเขาชมทะเล จะตื่นเต้นกับอากาศที่เย็นและสดชื่น ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน ก็จะเห็นเจ้าต้นสนสามใบนี้ขึ้นเรียงรายบางต้นนั้นก็มีรูปร่างคล้ายกับคน สัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน เพื่อนรายทาง ตอนนี้เราเข้าหมู่บ้านแล้ว มีคนอาศัยอยู่ เป็นชาวบ้านธรรมดาที่เลี้ยงสัตว์ปลูกพืชเป็นอาหาร บ้านเรือนของที่นี่ยังสร้างเป็นแบบบ้าสโบราณของเขมร ไม่ได้ตามยุคตามสมัยเหมือนในเมือง พวกเราเข้าเที่ยวชมหมู่บ้าน ที่อุดมสมบูรณ์ เพราะต้นกล้วยไม้ออกดอกไสวสวยช่อใหญ่มากบ้านของชาวกัมพูชาแบบดั้งเดิม ป้ายทางเข้าหมู่บ้าน ที่นี่มีวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ที่น่ารักพวกเขาเลี้ยงสัตว์ และปลูกผักทานกัน ตอนกลางวันจะมีเพียงคนแก่และเด็กอยู่บ้าน เพราะคนหนุ่มคนสาวจะออกไปทำนา ทำไร่ ทำสวนและจะกลับมาพร้อมกับอาหารเพื่อทานด้วยกันในตอนเย็น ผู้คนที่นี่น่ารักและเป็นกันเองมาก บางคนก็เป็นแม่ค้ามาทำอาหารขายที่ตรงน้ำตก หุบเขา วิวตรงหอชมวิว เราขึ้นมาถึงจุดที่สูงที่สุดของเขาแล้ว ที่นี่ใครผ่านมาก็ต้องแวะก่อนที่จะเข้าไปในน้ำตกด้านใน เชื่อว่าเป็นสถานที่พักตากอากาศ พักผ่อนของพระมหากษัตริย์ เพื่อมาส่องสัตว์ เพราะตรงกลางของภูเขานั้นจะเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ สัตว์ป่าก็จะลงมากินน้ำ และเล่นน้ำกันในตอนเย็นและตอนเช้า นอกจากนั้นที่นี่ยังสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ มีรูปภาพบ้าง มีเครื่องใช้สอย รวมถึงมีประวัติของเขาแห่งนี้ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาศึกษา ชอบอากาศที่นี่มากเย็นและลมโกรกเป็นที่สุด ดินนั้นจะเป็นแนวลาดชันลงไป แต่ไม่มีใครเดินลงไปเพราะป่าค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ไปด้วยยุง ที่พักค้างอ้างแรมสำหรับนักท่องเที่ยว พักหน่อยเพื่อความสนุก ที่แห่งนี้เป็นจุดพักค้างคืน มีที่พักเป็นบ้านพักกลางป่า มีจุดกางเต้นส์สำหรับที่จะนอนค้างคืน บนเขา ขอบอกว่าอากาศดีมาก เหมาะที่เราจะไปพักผ่อนกันเงียบๆ หนีจากความวุ่นวาย ดอกไม้รอบๆ สวยงาม แม้ว่าจะเป็นดอกไม้ที่มีคนปลูกแต่เมื่ออยู่กับธรรมชาติที่ลงตัวและเหมาะสมก็จะยิ่งสวยมากขึ้น นอกจากที่พักแล้วที่นี่ยังเป็นค่ายสำหรับให้เด็กๆ มาพักค้างอ้างแรมกินข้าวป่า และทำกิจกรรมลูกเสือได้ด้วย เพราะมีฐานให้ผจญภัย รอบพื้นที่ การเที่ยวกับธรรมชาติแค่เราดูดอกไม้บาน และใบไม้ไหวแค่นี้ก็สุขแล้วสำหรับคนเรา ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียนเอง (ผิวน้ำผึ้ง) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !