รีเซต

กำเงินหมื่นเดียวเที่ยว Kota Kinabalu มาเลเซีย ทุ่งนา ป่า เขา ทะเล ครบจบในทริปเดียว!

กำเงินหมื่นเดียวเที่ยว Kota Kinabalu มาเลเซีย ทุ่งนา ป่า เขา ทะเล ครบจบในทริปเดียว!
Muzika
1 สิงหาคม 2562 ( 20:00 )
6.2K
4

     มาเลเซีย ประเทศที่อยู่ใกล้เมืองไทยมากๆ น่าเสียดายที่เรามักคิดว่าที่นี่ไม่มีอะไรแตกต่างจากบ้านเรา แต่ "โคตาคินาบาลู" (Kota Kinabalu) นั้นจะทำให้ความคิดเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนเกือบเทใจให้อาเซียนแทบหมดห้อง เพราะนอกจากจะมีสถานที่สวยๆ ให้ถ่ายรูปในมุมมองที่แตกต่าง ยังใช้งบน้อยมากอีกด้วย

 

เที่ยว Kota Kinabalu มาเลเซีย

 

     ทริปนี้เราไปมา 5 วัน 4 คืน อยู่ดี กินดี มีรถขับ ยังใช้งบไปแค่คนละหมื่นนิดๆ แต่เดี๋ยวก่อน แค่จ่ายในราคานี้แล้วได้ไปเที่ยวต่างประเทศยังไม่พอ เรายังมีโอกาสได้สัมผัสทั้ง ทุ่ง นา ป่า เขา ทะเล ครบ จบในทริปเดียว! แล้วแบบนี้จะไม่ให้เปิดใจลองไปเที่ยวโคตาคินาบาลูสักครั้งได้ไง!

 

การเดินทางไปโคตาคินาบาลู 

 

 

     ถึงแม้ชื่อจะไม่ค่อยคุ้นหู แต่การเดินทางไปยังโคตาคินาบาลูนั้นไม่ได้ยากลำบากเหมือนที่คิด เพราะบินแค่ 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แถมยังมีสายการบินที่ให้บริการบินตรงแบบไม่ต้องแวะพักที่เมืองไหนให้เสียเวลาอย่าง AirAsia ซึ่งมีไฟลท์บินตรงมากถึง 3 วัน/สัปดาห์ (อังคาร,พฤหัส,เสาร์) ฉะนั้นเลือกได้เลย จะไป 4 วัน 3 คืน หรือ 5 วัน 4 คืน หรือจัดเต็มแม็กซ์ 6 วัน 5 คืน ทอเต็มผืนหลับเต็มตื่นก็ยังไหว!

 

     ส่วนตัวเราเลือกไฟลท์บินวันอังคาร และกลับวันเสาร์ ฉะนั้นจึงจัดเป็นแพลน 5 วัน 4 คืน ได้แบบเต็มอิ่ม เพราะได้เที่ยวทะเล ท่องป่า ขึ้นภูเขา เข้าคาเฟ่ ครบ! โดยไฟลท์ขาไปออกจากสนามบินดอนเมืองตอน 09.30 น. (เวลาดีมากกก ไม่เช้าเกินไป ตื่นสายหน่อยก็ได้ เพราะขึ้นที่ดอนเมือง) และจะไปถึงโคตาคินาบาลูตอน 13.30 น. (เวลาที่นั่นเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) ถึงปุ๊บ เที่ยวได้ปั๊บ ทันใจเลย!

 

 

รู้จักโคตาคินาบาลู กันก่อนสักนิด

 

 

     หลายคนอาจรู้จักชื่อ Kota Kinabalu ดีอยู่แล้ว จากชื่อเสียงอันโด่งดังของยอดเขาคินาบาลู ภูเขาที่เขาว่าสูงเป็นอันดับหนึ่งในประเทศมาเลเซีย ทั้งยังเป็นหนึ่งในยอดเขาที่นักผจญภัยหลายคนอยากไปพิชิต แต่เอาจริงๆ .ต่อให้เป็นคนไม่ชอบปีนเขา ไม่สันทัดการผจญภัย แต่การได้พาตัวเองไปยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาคินาบาลูโดยที่ไม่จำเป็นต้องปีนป่ายขึ้นไป มันก็เป็นอะไรที่คุ้มค่าที่สุดต่อการมาเยือนเมืองโคตาคินาบาลูแห่งนี้แล้ว ยิ่งได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ยิ่งเข้าใจเลยว่านี่แหละคือเสน่ห์ที่ทำให้โคตาคินาบาลูมีความแตกต่าง เป็นการเที่ยวอาเซียนความรู้สึกใหม่ที่ยังไงก็เที่ยวได้ไม่มีหมดจริงๆ

 

     ส่วนพิกัดของเมืองนี้ ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย แต่โคตาคินาบาลูไม่ได้ตั้งอยู่ใกล้กับกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงเลย กลับอยู่ห่างกันคนละเกาะ เพราะโคตาคินาบาลูตั้งตั้งอยู่ที่รัฐซาบาห์ (Sabah) บนเกาะบอร์เนียว เกาะเดียวกับประเทศบรูไน และอินโดนีเซียนู้นนน ฉะนั้นชื่นใจได้เลยว่ามันคุ้มค่าต่อการบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาแน่นอน

 

 

การเดินทางในโคตาคินาบาลู

 

 

     ด้วยความที่เป็นสายถ่ายรูป ยิ่งเป็นเมืองที่มีธรรมชาติให้สัมผัสแบบไม่รู้จบด้วยแล้ว การเช่ารถขับน่าจะเหมาะและสะดวกที่สุด เพราะแวะจอดตรงไหนก็ได้ ซึ่ง! การเช่ารถขับเที่ยวในประเทศอาเซียนนั้นไม่ต้องใช้ใบขับขี่สากล สามารถใช้ใบขับขี่รุ่นสมาร์ทการ์ดของบ้านเราได้เลย

 

     ส่วนค่าเช่ารถก็ไม่แพงมาก เราเช่าทั้งหมด 5 วัน รับและคืนรถที่สนามบินเลย จ่ายไปทั้งหมด RM 551.20 หรือประมาณ 4,100 บาท ตกวันละ 820 บาทเท่านั้นเอง ค่าน้ำมันยิ่งถูกใหญ่ ขับขึ้นเขาลงห้วยไปไกลมากกกกก 5 วัน เราเติมไปประมาณ RM 80 หรือ 600 กว่าบาทเท่านั้น อ้อ ปั๊มน้ำมันที่นี่เป็นแบบ Self-Service ทุกปั๊มนะ ต้องเติมเองแล้วเดินไปจ่ายตังค์ที่เคาน์เตอร์

 

 

สถานที่ท่องเที่ยวในโคตาคินาบาลู

 

Kinabalu Park

 

 

     รักสุดในทริปนี้ต้องยกให้ที่นี่เลย ‘อุทยานคินาบาลู’ หรือจุดเริ่มต้นของนักปีนเขาทั้งหลายที่หมายมั่นจะขึ้นไปพิชิตยอดเขาคินาบาลูนั่นเอง

 

 

     แต่เดี๋ยวก่อน! ถึงไม่ได้มุ่งมั่นมาเพื่อปีนเขา แต่ก็สามารถแวะเวียนมาเช็คอินที่นี่ได้ เขาไม่ได้เปิดรับเฉพาะนักปีนเขาอย่างเดียวนาจา คนทั่วไปก็มาเที่ยวได้ ภายในอุทยานอากาศดีตลอดทั้งปี เพราะอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,585 เมตร สามารถมองเห็นยอดเขาคินาบาลูซึ่งสูงกว่า 4,095 เมตรได้ชัดเจนเลย

 

 

     อุทยานคินาบาลูนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง ต้องขับรถไปประมาณ 3 ชั่วโมง ฉะนั้นเราก็เลยเลือกที่จะนอนในอุทยานเลย ที่นี่มีที่พักไว้รองรับนักปีนเขาและนักท่องเที่ยวด้วย นั่นก็คือ Sutera Sanctuary Lodges รีสอร์ทในเครือเดียวกับที่ Manukan Island นั่นเอง

 

 

     ห้องพักของ Sutera Sanctuary Lodges มีหลายไทป์มาก ตั้งแต่เป็นห้องไปจนถึงบ้านเป็นหลังที่พักได้หลายคน แต่ห้องที่เราจองคือ Liwagu Suite ราคา 2,920 บาท/คืน เป็นห้องที่แบ่งเป็น 2 ชั้น โดยชั้น 2 มีเตียงนอนและห้องน้ำ อารมณ์คล้ายๆ ชั้นลอยมากกว่า ส่วนชั้นล่างจะเป็นห้องนั่งเล่น มีห้องน้ำอีก 1 ห้อง พร้อมกับห้องอาบน้ำ รวมไปถึง ทีวี ตู้เย็น แต่ไม่มีแอร์ ซึ่ง! กลางคืนหนาวมากกก ช่วงที่เราไปอากาศตอนกลางคืนประมาณ 16-17 องศา ไม่ต้องพึ่งแอร์เลย

 

 

     สำหรับคนที่ไม่ได้หมายมั่นปั้นมือมุ่งมาพิชิตยอดเขาคินาบาลูก็สามารถเลือกเดินเทรคกิ้งระยะสั้นได้ ภายในอุทยานมีเส้นทางเดินป่าให้เลือกเดินประมาณ 10 เส้นทาง มีตั้งแต่เทรลที่สั้นแค่ 150 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ไปจนถึงเทรลที่ยาว 5,620 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมงขึ้นไป ฉะนั้นต่อให้ไม่ได้มาปีนเขา ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาแล้วไม่มีอะไรให้ทำ

 

Treetop Canopy Walk

 

 

     ขับรถจากอุทยานคินาบาลูไปประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของโคตาคินาบาลู นั่นก็คือ ‘Treetop Canopy Walk’ สะพานเชือกที่มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 40 เมตร หรือเทียบเท่าตึก 8 ชั้น! ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาขนาดใหญ่ ซึ่งต้องออกแรงเดินเข้าป่ากันไกลนิดนึง แต่ถ้าแลกกับความเสียวและประสบการณ์แปลกใหม่ที่จะได้รับบนสะพานเชือกนั้นแล้ว เราถือว่าคุ้มค่าเหนื่อย อย่างน้อยก็ได้รูปสวยแปลกตามาเช็คอินให้เพื่อนๆ อิจฉาเล่น

 

 

     ต้นไม้ที่นี่สูงใหญ่แทบทุกต้น เทียบกับ ‘คน’ อย่างเราแล้ว อายุเราช่างสั้นเหลือเกิน ข้อดีของการเข้าป่าหรือเที่ยวธรรมชาติก็คือการที่เราอาจได้เห็นสัจธรรมแบบนี้นี่แหละค่ะ ไอ้ตัวเราเองที่เคยลำพองว่าตัวใหญ่ตัวโต ถ้าเทียบกับธรรมชาติที่อยู่มาอย่างยาวบนโลกใบนี้แล้ว ‘คน’ อย่างเรามันก็ตัวเล็กนิดเดียวเท่านั้นเอง

 

 

     ก่อนถึง Treetop Canopy Walk เราจะต้องเดินผ่าน Poring Hot Spring หรือบ่อน้ำร้อนที่ชาวซาบาร์เขามาหย่อนตัวแช่น้ำผ่อนคลายกัน ทั้งแช่เท้า และแช่ตัว โดยที่นี่เสียค่าเข้าคนละ RM15 แล้วก็ค่าเดินบนสะพานเชือกเพิ่มอีกคนละ RM5 ใครเอากล้องถ่ายรูปเข้าไปต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับกล้องเพิ่มอีกตัวละ RM5

 

Sabah Tea Garden

 

 

     ปังมาก! ไม่คิดว่าไร่ชาแบบที่เมืองไทยก็มี จะสวยได้มากขนาดนี้เมื่อมียอดเขาคินาบาลูตั้งอยู่เป็นฉากหลัง ซึ่ง ‘Sabah Tea Garden’ เองก็นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองโคตาคินาบาลูที่แทบทุกคนต้องแวะมาเช็คอิน

 

 

     ถึงแม้จะต้องขับรถมาไกลจากอุทยานคินาบาลูอีกประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงก็ตาม แต่ถ้าวิวจะสวยขนาดนี้ มาเถอะ! แนะนำว่าให้มาช่วงเย็นตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกนะ ถ้าจังหวะดีเจอฟ้าระเบิดจะสวยมาก เรียกว่าเป็นโมเมนต์ที่สวยงามที่สุดสำหรับทริปโคตาคินาบาลูทริปนี้ของเราเลย

 

 

     เซลฟี่คู่ไร่ชา ส่วนที่เห็นใหญ่โตอยู่ข้างหน้าคือภูเขาคินาบาลู!

 

 

     Sabah Tea Garden เป็นทั้งจุดชมวิว ถ่ายรูป เช็คอิน รวมถึงมีร้านอาหารสำหรับฝากท้องด้วย

 

 

     มีทั้งอาหารคาวและหวาน ส่วนเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่คือขนมที่ทำจากชาเขียว (เรียกชื่อไม่ถูกเหมือนกันแฮะ) แต่จิ้มกับน้ำผึ้งแล้วหวานอร่อยถูกปากทีเดียว

 

Desa Cattle Dairy Farm

 

 

     ‘Kundasang’ ชื่อนี้จำให้ดี เพราะเป็นที่ตั้งของฟาร์มโคนมชื่อดังของโคตาคินาบาลูที่ชาวซาบาห์เขายกให้เป็นพื้นที่ที่มีวิวสวยที่สุด! จนตั้งฉายาให้ว่า ‘Little New Zealand of Sabah’ ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตนมรสดีของเมืองซาบาห์ด้วย

 

 

     วันไหนอากาศดีๆ ยังได้เห็นยอดเขาคินาบาลูตั้งอยู่เป็นฉากหลังอีกต่างหาก แต่เราโชคไม่ดีเท่าไร วันที่ไปฝนตกพรำๆ ก็เลยได้ฟีลหมอกๆ มาแทน

 

 

     มาแล้วอย่าลืมชิมไอศกรีมโยเกิร์ตหรือช็อกโกแลตของที่นี่นะ หอม มัน อร่อย ได้ฟีลกว่ากินที่อื่นมาก เพราะมันเป็นไอศกรีมราคาหลักสิบที่วิวหลักล้านนน!

 

Tegudon Tourism Village

 

 

     เที่ยวป่า เที่ยวเขา เข้าทุ่งไปแล้ว ขอพาขับรถต่อไปยังเมือง Kota Belud ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งแคมป์ยอดนิยมของชาวซาบาห์ เพื่อสัมผัสบรรยากาศท้องนาและน้ำตกกันบ้าง โดยวิวของ Kota Belud ก็จะแตกต่างจากแถว Kundasang หรืออุทยานคินาบาลู เพราะเป็นพื้นที่ราบ มีลำธารไหลผ่าน และสามารถมองเห็นภูเขาคินาบาลูได้ในวันฟ้าใส แต่ตอนที่เราไปฟ้าฝนครึ้มมาเชียว

 

 

     ‘Tegudon Tourism Village – TTV’ คือ ชื่อแคมป์แห่งหนึ่งใน Kota Belud ซึ่งอันที่จริงแถวนี้จะมีอยู่หลายแคมป์เลย ปกติแล้วชาวซาบาห์เขาจะมากางเตนท์กัน แต่วันที่เราไปเป็นวันธรรมดา มันก็เลยจะเงียบๆ หน่อย แทบจะไม่มีคนเลย มีแต่เด็กๆ และชาวบ้านแถวนั้นมาเล่นน้ำกัน

 

 

     ไฮไลท์ของแคมป์ Tegudon Tourism Village คือสะพานเชือกที่ชาวบ้านใช้เดินข้ามเพื่อกลับบ้านกันเป็นปกติ แต่ก็กลายเป็นมุมถ่ายรูปชิคๆ ของนักท่องเที่ยว เพราะวิวฝั่งตรงข้ามเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจี พอถ่ายรูปจากบนสะพานเชือกที่ทอดผ่านแม่น้ำสายเล็กๆ แล้วได้มุมสวยแปลกตาทีเดียว

 

KK City and Café

 

 

     วันสุดท้ายก่อนกลับไทย เราย้ายมานอนในเมือง หรือที่ชาวซาบาห์เขาเรียกกันว่า KK City เพราะจากตัวเมืองขับรถไปสนามบินไม่ไกล

 

 

     ไฟลท์ของแอร์เอเชียขากลับ คือ FD471 ออกจากโคตาคินาบาลูตอน 14.00 น. เราก็เลยมีเวลาเดินเล่นในตัวเมืองและแวะนั่งจิบกาแฟที่คาเฟ่เพื่อรอเวลาบินกลับ

 

 

     คาเฟ่ที่เราแวะคือ Woo Cafe ค่อนข้างโด่งดังมากทีเดียว สำหรับใครที่มาเที่ยวโคตาคินาบาลู ส่วนใหญ่ก็จะต้องแวะมาที่นี่แหละ เพราะเป็นคาเฟ่ชิคๆ มีมุมมินิมอลให้ถ่ายรูป กาแฟก็รสชาติดีทีเดียว สามารถขับรถมาจอดที่หน้าร้านได้เลย

 

     ถือว่าทริปโคตาคินาบาลูในครั้งนี้เต็มอิ่มสำหรับเรามาก เพราะได้ถ่ายรูปแลนด์สเคปสวยๆ ได้อยู่กับธรรมชาติ และได้เที่ยวแบบครบรสภายในทริปเดียว ไม่ว่าจะเป็น ทุ่ง นา ป่า เขา ทะเล จนเราไม่อยากจะเชื่อเลยว่า .. ที่นี่คือประเทศมาเลเซีย เพื่อนบ้านของเราซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านี้เอง ใช้เวลาเดินทางแค่ 3 ชั่วโมง แถมแอร์เอเชียยังมีไฟลท์บินตรงอีกต่างหาก ฉะนั้นถ้าใครกำลังตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายสักที่เพื่อจัดเป็นทริปต่อไป เราว่า ‘โคตาคินาบาลู’ ควรจะอยู่ในตัวเลือกอันดับต้นๆ แล้วล่ะ ไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลหรอก เพราะประเทศอาเซียนยังมีประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ออกเดินทางไปตามหาอีกเยอะ ดีไม่ดี อาจค้นพบมุมมองใหม่ที่จะกลายมาเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดอีกทริปนึงในชีวิตเลยก็ได้

 

ขอบคุณข้อมูล และภาพประกอบ : Movearound Journey