รีเซต

Review "ดอยม่อนจอง" เส้นทางบันทึกทุ่งหญ้าสีทองที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่

Review "ดอยม่อนจอง" เส้นทางบันทึกทุ่งหญ้าสีทองที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
aichan
24 พฤษภาคม 2559 ( 08:17 )
23.7K

 

เชียงใหม่ คือหนึ่งในจุดหมายของผู้รักธรรมชาติ ด้วยเป็นเมืองในหุบเขาล้อมรอบด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งป่าเขา น้ำตก น้ำพุร้อน และทะเลสาบ ให้นักท่องเที่ยวไปเยือนได้ไม่ขาดสาย รีวิวนี้จะพาไปเที่ยว "ดอยม่อนจอง" ดอยสูงที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ดอยอื่นๆ ด้วยความงดงามของทุ่งหญ้าสีทอง ทิวทัศน์เป็นทิวเขาไกลสุดสายตา และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง จึงท้าทายให้เหล่านักเดินทางฝ่าฟันขึ้นไปชมความงามนั้นด้วยตาของตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ดังเช่น คุณ Yeastman สมาชิกเว็บไซต์พันทิป ซึ่งได้พิชิตยอดเขาสีทองแห่งนี้และเขียนบันทึกแชร์ประสบการณ์ให้กับเรา อย่ารอช้า ตามไปเที่ยวกันเลย!

 

🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺

 

. . . "เผลอ" แปปเดียวฤดูหนาวที่เพิ่งมาก็ได้ผ่านไปและเริ่มต้นใหม่เพื่อเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเดิมทุกที เปรียบเสมือนกับชีวิตของผู้คนในแต่ละวันที่มีเรื่องราวทุกข์ สุข เข้ามาและผ่านไป ซึ่งรวมถึงการรีวิวทริปครั้งนี้ของผมที่ไปตั้งแต่เดือนมกราคม แต่เพิ่งได้มีโอกาสได้มาทำรีวิวแค่ "เผลอ" แปปเดียวก็ผ่านมาแล้ว 3 เดือน . . .

 

. . . สำหรับการแชร์ประสบการณ์เรื่องราวในครั้งนี้ ผมขอย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาสูง รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นสถานที่นักเดินทางล้วนใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งต้องมาพิชิตสถานที่แห่งนี้ให้ได้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต ผมคนหนึ่งที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของภาพที่บันทึกความทรงจำบนสถานที่แห่งนั้นเช่นกัน. . .

 

. . . สถานที่แห่งนี้มีจุดหมายหลักที่เป็นสิ่งเร้าให้เหล่านักเดินทางไปกัน นั่นก็คือ การพิชิตจุดสูงสุดของภูเขาลูกนี้ที่รายล้อมไปด้วย "ทุ่งหญ้าสีทอง" ที่ขึ้นตามทางเป็นสิ่งที่นักเดินทางที่เดินได้สัมผัสถึงความสวยงามเมื่อได้พบเจอ . . .ใช่แล้วครับสถานที่แห่งนี้คือ

 

. . . "ดอยม่อนจอง " . . .

 

 

. . . "ดอยม่อนจอง" ตั้งอยู่บนทิวเขาถนนธงชัยตอนกลาง ปัจจุบันตั้งอยู่ใน อ.นันทบุรี เดิมตั้งอยู่ใน ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยขึ้นกับพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย "ดอยม่อนจอง" ติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย จุดสูงสุดของดอยม่อนจอง เรียกว่า "หัวสิงห์" เพราะมีลักษณะคล้ายหัวสิงโต สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,929 เมตร. . .

 

. . . ในการบันทึกการเดินทางครั้งนี้ ผมขอเริ่มต้นจากจุดหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอเพื่อติดต่อขอขึ้นดอยม่อนจอง รวมถึงจัดเตรียมสัมภาระที่ใช้สำหรับการพักแรม นอกจากนี้ยังเป็นจุดติดต่อลูกหาบและรถ 4WD (เสียค่าบริการ) เพื่อนั่งไปยังจุดเดินเท้าที่อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอประมาณ 16 กิโลเมตร (ไม่สามารถนำรถขับไปเองได้เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างอันตราย) . . .

 

 

. . . เมื่อติดต่อขอขึ้นพักแรมเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางนั่งรถไปยังจุดเดินเท้าที่อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอประมาณ 16 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางที่รถนั่งไปนั้นต้องบอกเลยครับว่า "ลูกรัง" รวมทั้งฝุ่นดินแดงต่าง ๆ อีกมากมายทั้งนั้น ตลอดทางที่นั่งรถนั้นหลาย ๆ ท่านที่เคยไปคงเข้าใจดีจากจุดนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง (ต้องขอภัยระหว่างทางไม่ได้เก็บภาพมา เนื่องจากฝุ่นเยอะมากตอนนั่งรถไป). . .

. . . ภายหลังเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง รถได้มาจอดตรงจุดเดินเท้า โดยเมื่อถึงจุดนี้แล้วรถที่เราใช้บริการเขาจะจอดรอรับเราในวันพรุ่งนี้เลย และเมื่อนำสัมภาระลงจากรถเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางตามเส้นทางเพื่อไปยังจุดหมายที่เราจะไป . . .

. . .ในช่วงแรกของเส้นทางนั้นจะมีลักษณะเป็นทางขึ้นเขา สลับกับทางราบเล็กน้อยตลอดเส้นทางในช่วงแรก บรรยากาศรอบ ๆ ทางที่เดินอุดมไปด้วยต้นสนขึ้นรายล้อมไปตลอดทาง. . .

 

 

. . . ระยะทางในการพิชิตม่อนจองนั้นจะอยู่ที่ ประมาณ 4-6 กิโลเมตร นับจากจุดเดินเท้าจนถึงยอดหัวสิงห์ ซึ่งจุดหมายแรกของเราในวันนี้จะอยู่ตรงกิโลเมตรที่ 4 ซึ่งเป็นจุดพักแรมที่อยู่ในหุบเขา. . .

. . . เมื่อเดินทางมาซักระยะหนึ่งจะเริ่มรู้สึกได้ว่า "เหนื่อยครับ" เนื่องจากเส้นทางเป็นทางเขามากกว่าทางราบ รวมถึงสัมภาระที่แบกขึ้นมาเองเริ่มส่งผลกระทบขึ้นเรื่อย ๆ . . .

. . . หลังจากเดินข้ามเขามาประมาณ 2 ลูก (2 กิโลเมตร) จะเห็นกองหินกองหนึ่งตั้งอยู่ หากเมื่อมาถึงจุดนี้หมายถึงว่า เราเดินทางมาถึงครึ่งทางของจุดกางเต๊นท์แล้ว กองหินดังกล่าวเรียกว่า "ภูหินช่อ" ซึ่งหลาย ๆ คนจะปีนขึ้นไปถ่ายรูปกันเนื่องจากเมื่อขึ้นไปยืนบนจุดนั้นจะสามารถเห็นทิวทัศน์ได้ 360 องศาเลยทีเดียว (ส่วนผมขอนั่งพักดีกว่า T_T). . .

 

 

. . . ระหว่างที่พักตรงภูหินช่อ พอดีผมเห็นลูกหาบท่านหนึ่งที่นั่งพักด้วยกันจึงเข้าไปถามเส้นทางหลังจากจุดภูหินช่อเป็นอย่างไร หลังจากถามก็ได้ความว่า หลังจากจุดนี้ไปจะมีลักษณะเป็นทางราบมากขึ้น โดยจะเดินอ้อมเขาไป 1 ลูก (O_o) และเมื่อสิ้นสุดทางราบก็จะพบทางที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เขาเรียกกันว่า "เนิน 60"

. . . คำว่า "เนิน 60" นั้นแท้จริงแล้วมันคือทางลาดชันไต่ขึ้นไปบนเขา โดยทางจะชันเกือบ 60 องศาเลยทีเดียว จึงเป็นที่มาของคำว่า "เนิน 60" ซึ่งตอนแรกที่เห็นทางแล้ว ผมถึงกับถามตัวเองในใจว่า "ผมมาทำอะไรที่นี่" . . .

. . .เมื่อมาถึงจุดดังกล่าว ก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องเดินไต่เขาขึ้นไปพร้อมกับสัมภาระที่แบกขึ้นมา แต่ไหน ๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้วอย่างน้อยลองกันหน่อย เพราะทราบมาว่าเมื่อพ้นเนินนี้ไปก็จะถึงจุดพักแรม เมื่อเริ่มเดินขึ้นพยายามค่อย ๆ เดินช้า ๆ ใช้ทั้งมือทั้งขาเพื่อพยุงตัวขึ้นไป ผมใช้เวลาไต่ขึ้นพอสมควร แต่ในที่สุดผมก็ทำได้. . .

 

 

. . . หลังจากที่ผ่านเนินดังกล่าวมาเป็นที่เรียบร้อย เมื่อมองย้อนลงไปดูและได้แต่คิดในใจว่า เราเดินข้ามเขาขึ้นมาสูงขนาดนี้ได้อย่างไร . . .

. . . ผมเดินต่อมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเริ่มเห็นลานกว้าง ซึ่งลานดังกล่าวนั้นเป็นจุดที่โดดเด่นอย่างหนึ่งเลยเมื่อมาที่นี่ นั่นคือ "ลานทุ่งหญ้าสีทอง" หรือเรียกว่า "สนามกอล์ฟช้าง" ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่จะมีทางแยกไปสองทางนั่นคือ หากเลี้ยวซ้ายไปจะเดินเขาหุบเขาและจะมีจุดพักแรมบริเวณนั้น แต่ถ้าหากเลี้ยวขวาไปจะเป็นเส้นทางไปยังยอดม่อนจองนั่นเอง . . .

. . .เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาดูพระอาทิตย์ตก ผมจึงเลือกที่จะไปจุดพักแรมก่อนเพื่อกางเต๊นท์และเก็บสัมภาระ โดยจากจุดที่เป็นทางแยกเดินเข้ามาในหุบเขาไปยังจุดพักแรมเส้นทางค่อนข้างชันเวลาเดินควรระมัดระวังกันด้วยนะครับ ในวันที่ผมไปมีนักเดินทางท่านอื่น ๆ ที่มาด้วยประมาณ 50 คน. . .

 

 

. . . หลังจากที่เลือกจุดกางเต๊นท์และเก็บสัมภาระเสร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปคือเดินขึ้นไปด้านบนต่อเพื่อไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าไป ซึ่งตลอดระยะทางที่เดินไปตามทางที่ไปยังเส้นทางยอดดอยก็เห็นผู้คนที่มาเที่ยวกันหลายท่านกำลังเก็บภาพกันอย่างสนุกสนาน . . .

. . .ระหว่างที่เดินไปเรื่อย สิ่งที่อยากเห็นก็เริ่มใกล้เข้ามานั่นคือ "ยอดหัวสิงห์" ที่โดดเด่นและเป็นจุดที่สูงที่สุดบนยอดดอยของที่นี่ ดูแล้วสวยงามอย่างบอกไม่ถูก . . .

. . .เนื่องจากตอนแวะถ่ายรูปตามทางไปเรื่อยจนคิดว่า ผมอยากได้ภาพที่เห็นยอดหัวสิงห์เป็นฉากหลังมากกว่าที่จะไปยืนบนจุดนั้นแล้วถ่ายภาพลงมา จึงตัดสินใจไม่ขอขึ้นไปยังยอดหัวสิงห์ แต่ขอเก็บภาพอยู่บริเวณด้านล่างดีกว่า รวมถึงอากาศข้างบนนี้เริ่มเย็นลงและมีลมแรงมากพัดตลอดเวลา . . .

 

 

. . . เวลาค่อย ๆ หมุนไปอย่างรวดเร็ว แสงที่เคยส่องมาตั้งแต่เช้าเริ่มใกล้จางลงเรื่อย ๆ ผมยังจดจำบรรยากาศรอบ ๆ ตอนนั้นได้เป็นอย่างดี มีกลิ่นหญ้า เสียงลมที่พัดผ่าน รวมถึงตะวันที่กำลังจะคล้อยลับไป ล้วนเป็นบรรยากาศที่มองแล้วทำให้ลืมเรื่องที่กลุ้มใจ แต่กลับกลายเป็นมีความสุขแทนที่ได้มาท้าทายตัวเราเองในที่แห่งนี้ . . .

. . . ตลอดระยะทางที่เดินมาตั้งแต่เช้าที่เหนื่อยมาทั้งวัน แต่พอมาได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้กลับทำให้รู้สึกหายเหนื่อยไปทันที เมื่อได้เห็นภาพยอดหัวสิงห์ที่ใกล้ตา ซึ่งแต่ก่อนได้แต่ดูภาพจากท่านอื่น ๆ แต่ในวันนี้สามารถเห็นของจริงด้วยตัวเอง. . .

. . . หลังจากที่พระอาทิตย์ลับตาเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางกลับที่พักเพื่อที่จะได้พักผ่อนหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน และรอตื่นเช้าเพื่อมาต้อนรับพระอาทิตย์ในวันใหม่กันตอน ตี 5 ระหว่างที่เดินทางกลับนั้นอากาศค่อนข้างเย็นและลมแรงพัดตลอดเวลา . . .

 

 

. . . เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอน ตี 5 ทำให้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสได้ถึงอากาศที่หนาวเย็น และลมแรง เข้ามาในเต๊นท์ที่นอนอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจมากคือ ไม่มีน้ำค้าง แม้อากาศจะเย็นก็ตาม หลังจากนั้นรีบล้างหน้าล้างตา และเดินทางไปยังจุดเดิมที่เมื่อวานไปมา. . .

. . . ระหว่างที่เดินทางไปตามเส้นทางที่เดินเมื่อวานนั้น จะสัมผัสกับลมหนาวที่พัดผ่านมายังดอยแห่งนี้ตลอด และเมื่อมาถึงจุดหนึ่งระหว่างที่กำลังรอพระอาทิตย์ขึ้น ผมแปลกใจมากที่มีสิ่ง ๆ หนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อผมหันไปมองทิศตะวันตกสิ่งที่ผมเห็นคือ "พระจันทร์" กำลังตกดิน ซึ่งเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตดูแปลกตาไปอีกแบบ . . .

 

 

. . . แสงแดด ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาเปลี่ยนความมืดให้หายไปเป็นสัญญาณบอกว่าวันใหม่กำลังจะเข้ามา ซึ่งรวมถึงเป็นเวลาที่บอกให้ผมเตรียมตัวเก็บของเพื่อลากับดอยม่อนจองแห่งนี้เช่นกัน . . .

. . . ผมอยู่เก็บภาพบริเวณ ใกล้ ๆ กับยอดหัวสิงห์อยู่ระยะเวลาหนึ่งก็เดินทางกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวเก็บของเพื่อเดินทางกลับ. . .

 

 

. . .บทสรุปของเรื่องราวในครั้งนี้ สำหรับผมเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดประสบการณ์ใหม่กับ "ดอยม่อนจอง" แห่งนี้รู้สึกหลงเสน่ห์ของความสวยงามของที่แห่งนี้ ถึงแม้การเดินทางตั้งแต่เริ่มต้นจะลำบากกว่าจะมาถึงจุดเดินเท้าได้ค่อนข้างสมบุกสมบันในระดับหนึ่ง แต่เชื่อว่าหากใครหลาย ๆ คนที่มาคงลืมไปได้เลยว่าการเดินทางมันลำบากเมื่อเทียบกับภาพที่เห็นยอดหัวสิงห์แห่งนี้ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่นี่อาจจะไม่มีเหมือนอย่างหลาย ๆ ที่ แม้กระทั่งห้องน้ำ (ส้วมหลุม) แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านจะได้รับเมื่อท่านมายังที่นี่นั่นคือ "ประสบการณ์ใหม่" ที่ไม่เคยได้รับมาก่อนอย่างแน่นอน. . .

. . .สำหรับการรีวิวในครั้งนี้ ขอแบ่งปันเล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาให้ติชมกัน หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ให้กับนักเดินทางทุกท่านที่สนใจกับการเดินทางมายัง "ดอยม่อนจอง" แห่งนี้ . . .

. . ."ดอยม่อนจอง" จะเปิดให้ขึ้นในช่วงเดือน พย. - 15 กพ. ของทุกปี หลังจากนั้นจะปิดเพื่อให้ป่าฟื้นฟูต่อไป . . .

สุดท้ายนี้ขอลากันไปด้วยภาพ "ทุ่งหญ้าสีทองแห่งดอยม่อนจอง "

 

 

ทุกก้าวที่เราก้าว จะมีความทรงจำให้เก็บเกี่ยว

 

"สวัสดี "

 

 

ปล. ขอแบ่งปันประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยไปมาให้ดูกันครับ

http://pantip.com/topic/34647613 : R e v i e w "Autumn in Kansai" ฤดูใบไม้ร่วงนี้. . .ฉันอยู่ที่ญี่ปุ่น

http://pantip.com/topic/34505290 : R e v i e w บันทึกการเดินทางตามหาทะเลหมอกแห่งยอดเขาพะเนินทุ่งที่ "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน"

 

ขอบคุณรีวิวดีๆ จาก คุณ Yeastman สมาชิกเว็บไซต์พันทิป

 

ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่

ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com