15 เมืองในยุโรปมาแรงแซงโค้งติดเทรนด์ ที่ต้องไปเที่ยวให้ได้ก่อนใคร

เรียบเรียง : เอิงเอย

     ยุโรปเป็นอีกที่ค่ะ ที่คนนิยมไปท่องเที่ยวมาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองดังๆ อย่าง ปารีส, ลอนดอน, โรม หรือเมืองอื่นๆ อีกมากมายที่เราคุ้นหู และรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่สำหรับวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับยุโรปอีกมุมหนึ่ง ไปรู้จักกับเมืองที่ยังไม่ค่อยดัง เมืองที่คนไม่ค่อยรู้จักมาก และยังไม่ได้ไปเที่ยวกันหนาแน่นอย่างเมืองดังที่อื่นๆ แต่กำลังเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจ และกำลังมาแรงทีเดียว

1. อูเทรคต์ (Utrecht) : เนเธอร์แลนด์

TasPhoto/Shutterstock.com 

     ใครที่มาเนเธอร์แลนด์ทั้งที เมืองที่ปักมุดอยู่ในใจคงหนีไม่พ้น “อัมสเตอร์ดัม” มหานครใหญ่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมย้อนยุคตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 แต่ขอบอกว่านอกเหนือจากอัมสเตอร์ดัมนั้นยังมีเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า อูเทรคต์ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลอง และเป็นอีกเมืองที่มีกังหันลมค่ะ เมืองนี้เป็นเมืองเก่าตั้งแต่สมัยสงครามโลก และโชคดีที่ไม่ถูกทำลายไป ทำให้สภาพหน้าตาของเมืองยังคงเหมือนสมัยปี 1700s เป๊ะๆ ค่ะ 

2. เอดินเบอระ (Edinburgh) : สหราชอาณาจักร

     ใครจะไปรู้ว่าเมืองอื่นที่นอกเหนือจากลอนดอนของอังกฤษในสหราชอาณาจักรก็น่าเที่ยวไม่แพ้กัน ที่นี่ เอดินเบอระ หรือ เอดินเบิร์ก เมืองหลวงของแคว้นสกอตแลนด์ และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคกลาง พร้อมความเขียวขจีร่มรื่นตามแบบฉบับเมืองชนบท และยังมี Edinburgh Castle หรือปราสาทเอดินเบอระที่แสนสวยงามอีกด้วยค่ะ 

3. เซียน่า (Siena) : อิตาลี

     นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปอิตาลี พูดได้อย่างมั่นใจว่า ถ้ามาไม่ถึงโรมก็เหมือนไม่ได้ไปอิตาลี แต่ถ้าหากเราอยากได้ความมีชีวิตชีวาที่มากกว่าโรมแล้วล่ะก็ เซียน่า เป็นอีกเมืองหนึ่งที่เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ในจินตนาการของคนที่ฝันถึงอิตาลี ที่นี่ตั้งอยู่ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) เป็นเมืองยุคกลางที่มีชื่อเสียงทางด้านศิลปะ และสถาปัตยกรรม จนยูเนสโก้ยกย่องให้ที่นี่กลายเป็นเมืองมรดกโลกเมืองปี 1995 ค่ะ

4. มาร์แซย์ (Marseille) : ฝรั่งเศส

 Olgysha/Shutterstock.com

     ปารีสมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวถึง 24 ล้านคนต่อปี ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับเมืองมาร์แซย์ เป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศ ที่ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเพียง 2 ล้านคนต่อปีเท่านั้น เมืองนี้ รู้จักกันในชื่อว่าประตูสู่เมดิเตอร์เรเนียนค่ะ สมัยก่อนเคยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญในการค้าขายที่สำคัญ แน่นอนว่าอีกสิ่งที่ขึ้นชื่อก็คือ ซีฟู้ดรสเลิศ นั่นเองค่ะ

5. มาริบอร์ (Maribor) : สโลเวเนีย

     ลูบลิยานา อาจจะเป็นจุดหมายปลายทางที่นิยมมากที่สุดของสโลวีเนีย แต่เมืองมาริบอร์นี้ก็ควรเป็นอีกเมืองที่อยู่ในลิสต์ของคุณสำหรับการมาพักผ่อนที่นี่ด้วยค่ะ ความน่าสนใจของเมืองนี้อยู่ที่สถาปัตยกรรมที่งดงาม เถาวัลย์องุ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก สปาต่างๆ ที่มีมากมายกระจายอยู่ในเมือง เป็นเมืองแห่งการมาชิลล์จริงๆ

6. ไบบิวรี (Bibury) : อังกฤษ

     ไบบิวรี ที่นี่ได้รับยกย่องว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอังกฤษเลยทีเดียวค่ะ เป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยกระท่อมโบราณ โบสถ์อันเก่าแก่ อีกทั้งยังมีถนนสวยๆ รายล้อมด้วยดอกไม้สีสดใสริมสองข้างทาง เป็นหนึ่งในสถานที่สุดโรแมนติกมาก หลายคนชอบมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันที่นี่เพื่อเก็บเป็นหนึ่งในความทรงจำสำคัญของชีวิต

7. ปัลมาโนวา (Palmanova) : อิตาลี

     ถ้ามองจากมุมบน เมืองนี้จะมีผังเมืองที่แสนอลังการ เป็นรูปหกเหลี่ยม และศูนย์กลางของทั้งหมดจะอยู่ที่ Grand Piazza เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่เป็นเสมือนป้อมปราการของอิตาลีมาตั้งแต่ยุค 1590s มีโบสถ์สวยงามท่าไปเยือนอย่าง Duomo Digale และเป็นเมืองยุคกลางที่สงบสุข

8. รอนด้า (Ronda) : สเปน

     รอนด้าเป็นอีกเมืองที่น่าท่องเที่ยวของสเปนนอกจากมาดริดค่ะ เพราะยังคงเสน่ห์ของเมืองชนบทไว้อย่างครบถ้วน ที่แปลกอย่างน่าประหลาดก็คือ เมืองจะตั้งอยู่บริเวณรอยแยกอันสวยงามที่ดูๆ แล้วเหมือนจะเป็นหุบเหวลึกเสียมากกว่า โดยมีสะพานทำหน้าที่เชื่อมเมืองทั้งเมืองเข้าไว้ด้วยกัน

9. ทาลลินน์ (Tallinn) : เอสโตเนีย

     เอสโตเนีย เป็นประเทศที่ค่อนข้างเงียบสงบ และเมืองทาลลินน์นี้ก็เป็นเมืองหลวงของประเทศ ซึ่งถ้าเทียบกับเมืองหลวงของที่อื่นๆ ในยุโรป ถือว่าที่นี่สงบมากๆ เลยทีเดียว ที่นี่เป็นเมืองมรดกโลก มีตึกเก่าแก่สวยงามมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองในเทพนิยายที่เคยอ่านกันตอนเด็กๆ เลยทีเดียว

10. Muhu Island : เอสโตเนีย

     นอกจากเมืองหลวงแสนสงบสวยงามของเอสโตเนีย ยังมีที่เกาะ Muhu Island อีกที่ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด เพราะบนเกาะนี้ จะได้เห็นความต่างออกไปของวัฒนธรรม และวิถีชีวิตระหว่างชาวเมืองที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ และชาวเกาะที่อยู่ไกลออกมาค่ะ คล้ายๆ แบบเกาะฮาวาย กับอเมริกา ที่จะมีชีวิตแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว สำหรับที่เกาะนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารมากมาย และมีเทศกาลดนตรีแจ๊สที่จัดขึ้นในช่วงกลางฤดูร้อนอีกด้วย

11. ลอดซ์ (Lodz) : โปแลนด์

Skorpionik0/Shutterstock.com 

     ลอดซ์ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโปแลนด์ และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รอบๆ เมืองจะมีชาวยิวสร้างบ้านเรือนอยู่กันอย่างหนาแน่น ถ้าอดีตของโลกเป็นที่น่าสนใจสำหรับคุณแล้วล่ะก็ ที่นี่จะมีคำตอบให้กับคุณในหลายๆ เรื่องของประวัติศาสตร์

12. East Anglia : สหราชอาณาจักร

     East Anglia นั้นเป็นแคว้นชนบทที่มีเสน่ห์ของ Great Britain และไอร์แลนด์เหนือ ที่นี่ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากอังกฤษ ถ้าได้มาเที่ยวที่นี่จะแทบไม่รู้สึกเลยว่า นี่คือส่วนหนึ่งของอังกฤษ เพราะชายทะเล เทศกาลดนตรี ฟาร์มหอยมุก และเทศกาลอันยิ่งใหญ่ Great Yarmouth Maritime Festival ในเดือนกันยายน

13. Formentera : สเปน

     Formentera อาจไม่ใช่ท็อป 10 ของเมืองท่องเที่ยวในยุโรป แต่ที่นี่คือจุดอาบแดดริมหาดที่ดีติดอันดับทีเดียว นอกชายฝั่งของสเปนในหมู่เกาะ Formentera เป็นที่รู้จักกันสำหรับการเป็นเมืองชายหาดที่มีวิถีชีวิตแบบ slow life นอกจากนี้ยังเป็นที่ที่มีหาดที่สามารถเปลือยกายได้อย่างอิสระอย่างที่บางคนชื่นชอบอีกด้วย

14. ลูอิส (Lewis Island) : สก็อตแลนด์

     ลูอิส เป็นปลายทางสำหรับคนที่กำลังมองหาวัฒนธรรม พร้อมกับสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของสก็อตแลนด์ บริเวณที่เป็นจุดท่องเที่ยวมีสำคัญ และได้รับความนิยมมากของที่นี่ก็คือ Calanish Standing Stones, หมู่บ้าน Gearannan Village และโบสถ์ St. Columba’s Chapel

15. ตุรกุ (Turku) : ฟินแลนด์

Lasse Ansaharju/Shutterstock.com

     ถึงแม้เฮลซิงกิจะเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวในฟินแลนด์ แต่ก็ไม่อาจมองข้าม ตุรกุ เมืองหลวงที่เก่าแก่ในประวัติศาสตร์สมัยที่ฟินแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนไปได้ ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่องในช่วงวันหยุดฤดูหนาว และยังมีเทศกาลดนตรีใหญ่ของปีถึง 2 งาน คือ Turku Music Festival และ Ruisrock นอกจากนี้ยังยังรูปปั้นพาโว นูรมิ นักวิ่งมาราธอน หน้าสนามกีฬาโอลิมปิกที่มีชื่อเสียงมากๆ ค่ะ 

===============