รีเซต

SHIZUOKA ฟูจิซังในมุมที่ไม่เหมือนใคร กับ 15 สิ่งที่ควรทำเมื่อมาเที่ยวชิซึโอกะ พร้อมการเดินทางเที่ยวซิซึโอกะอย่างละเอียดยิบ

SHIZUOKA ฟูจิซังในมุมที่ไม่เหมือนใคร กับ 15 สิ่งที่ควรทำเมื่อมาเที่ยวชิซึโอกะ พร้อมการเดินทางเที่ยวซิซึโอกะอย่างละเอียดยิบ
เอิงเอย
8 มีนาคม 2562 ( 06:34 )
49.2K
4

        ใครที่กำลังเล็ง ชิซึโอกะ (SHIZUOKA) ไว้เป็นจุดหมายต่อไป ตามมาดูกันเลยค่ะว่า ชิซึโอกะ เป็นเมืองที่สามารถมองเห็นฟูจิซังได้ใหญ่โตมากแค่ไหน... และนี่คือ 15 กิจกรรมที่เราอยากให้ลองทำเมื่อมาเที่ยว ชิซึโอกะ ย้ำกันอีกทีว่า ชิซึโอกะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้โตเกียวมากกว่าที่คิด ใช้เวลาเดินทางแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง และที่สำคัญ .. เธอจะได้เห็น และถ่ายรูปกับ ภูเขาไฟฟูจิ ในมุมที่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน

 


         ทริปนี้เราก็เลยพาตัวเองมายืนอยู่ตรงหน้าภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มองดูความศรัทธาที่คนญี่ปุ่นมีต่อภูเขาไฟฟูจิ ลองใช้ชีวิตเนิบช้าอยู่ในเมืองที่อาจอยู่แค่ปลายสายตาของคนไทยหลายคน การเดินในเมืองที่ไม่ว่าหันไปทางไหนก็สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้แทบทุกมุม ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือ ชิซึโอกะ เมืองที่มีชาเขียวรสขมเข้มให้นั่งจิบพลางมองดูความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟฟูจิ

.. แล้วถ้าเธอจะลองเปิดใจออกสักนิด อ่านจนจบ .. ชิซึโอกะ อาจไม่ใช่ทางผ่านอีกต่อไป : )

 


การเดินทางสู่จังหวัดชิซึโอกะ

 

 

        ฟังจากชื่อดูเหมือนไกลใช่ไหม? แต่จริงๆ แล้ว ชิซึโอกะ เป็นหนึ่งในเมืองที่สามารถไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้เลยนะ เพราะใช้เวลานั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นจากโตเกียวมาแค่ 40-60 นาทีเท่านั้นเอง ใกล้กว่าคาวากุจิโกะอีกจ้าาา

 

 

        โดยทริปนี้ เรามีโอกาสได้ลองใช้บริการสายการบิน Japan Airlines เป็นครั้งแรกด้วย โอ๊ยยยย ดีงามมากจ้าพี่จ๋า เดี๋ยวนี้ราคาก็ไม่แพงมากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แถมเรื่องการบริการก็ดีงามสมเป็นสายการบินประจำชาติแดนปลาดิบ ที่เราชอบมากที่สุดก็คือตอนบอร์ดดิ้งไม่วุ่นวายเหมือนสายการบินอื่นๆ ขนาดคนเต็มลำยังบอร์ดดิ้งได้ตรงเวลาเวอร์ หลับยาวๆ แปบเดียวก็ถึงสนามบินฮาเนดะแล้ว

 

 

        จากสนามบินฮาเนดะ สามารถนั่งรถไฟสาย Airport-Kyuko ไปลงสถานี Shinagawa แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟความเร็วสูง Shinkansen ไปลงที่จังหวัดชิซึโอกะได้เลย ส่วนระยะเวลานั้นขึ้นอยู่กับว่าจะแวะเที่ยวเมืองไหนก่อน ส่วนตัวเราลงที่สถานี Atami เพราะตั้งใจจะไปดูซากุระเย็น หรือซากุระฤดูหนาวที่บานก่อนซากุระที่คาวาซุ (Kawazu) ก็เลยใช้เวลาเดินทางจากสถานี Shinagawa แค่ 39 นาทีเท่านั้น!

 

 

          หลังจากนั้น เราก็ต่อรถไฟไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ อ้อ .. แต่ถ้าใครมาจากสนามบินนาริตะอาจต้องใช้เวลามากกว่านะ เพราะต้องขึ้นชินคันเซ็นที่สถานี Tokyo หรือถ้าไฟลท์ใครถึงช่วงบ่ายๆ เย็นๆ จะแวะเที่ยวโตเกียวก่อนแล้วค่อยแว๊บมาเที่ยวชิซึโอกะในวันต่อๆ ไปก็ได้ จะได้ไม่เหนื่อยเกินไปค่ะ : )

 

 


TIPS : มาเที่ยวชิซึโอกะ สามารถใช้พาส (PASS) อะไรได้บ้าง?

 

 

          พาสเที่ยวรอบโตเกียวยอดฮิตอย่าง JR TOKYO Wide Pass ก็สามารถใช้นั่งรถไฟ JR East Line มาถึงสถานี Atami ของเมืองชิซึโอกะได้นะ เพียงแต่ว่ามันจะถึงแค่นั้นน่ะซี่ ไม่สามารถใช้พาสนี้เดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ ของชิซึโอกะได้ ฉะนั้นถ้าใครมีแพลนเที่ยวชิซึโอกะมากกว่า 1 วัน อาจพิจารณาซื้อ Mt. Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass Mini เพิ่ม

          โดยพาสนี้สามารถใช้นั่งรถไฟ / รถบัส บริเวณรอบจังหวัดชิซึโอกะ และเรือเฟอร์รี่เพื่อเที่ยวที่ Shimizu Port Bay Cruise และ Suruga Bay ได้ รวมถึงใช้นั่ง Fujikyuko Bus เที่ยวรอบทะเลสาบที่คาวากุจิโกะได้ด้วย พาสสามารถใช้งานได้ 3 วัน ราคา 4,500 เยน ซื้อก่อนจากเมืองไทยแล้วค่อยไปแลกเป็นพาสจริงที่ญี่ปุ่นเหมือนพาสอื่นๆ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากลิงก์นี้เลยจ้า http://touristpass.jp

 


สรุปวิธีการเดินทางไปเมืองชิซึโอกะ

สามารถเลือกเดินทางได้ตามความสะดวกและงบประมาณของแต่ละคนเลย

 

 

 

1. Tokyo —> Shizuoka แบบไม่ใช้พาส

         วิธีการเดินทาง : Shinkansen Hikari หรือ Shinkansen Hikari Kodama จากสถานี Tokyo ถึงสถานี Shizuoka ใช้เวลา 60 นาที ราคา แบบไม่จองที่นั่ง 5,830 เยน/เที่ยว จองที่นั่ง 6,350 เยน/เที่ยว หลังจากนั้นก็ค่อยนั่งรถไฟเที่ยวตามเมืองต่างๆ หรือถ้าสะดวกเช่ารถขับก็จะทำให้สามารถเข้าถึงสถานที่ต่างๆ ได้สะดวกและล้วงลึกยิ่งขึ้น เพราะบางสถานที่รถไฟไม่เข้าถึง อาจจะต้องนั่งบัสหรือโบกแท็กซี่เอาค่ะ

          ปล. สำหรับนักท่องเที่ยวงบน้อยแล้วอยากประหยัด สามารถนั่งรถไฟ JR Tokaido Line มาได้ แต่ก็จะเสียเวลามากกก เพราะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนค่าโดยสารนั้นจะอยู่ที่ราคา 3,350 เยน/เที่ยวค่ะ

 

2. Tokyo —> Shizuoka
กรณีถือ Japan Rail Pass (All Japan)

         คนที่มี JR Pass แบบทั่วประเทศไว้ในครอบครองอยู่แล้ว สามารถใช้พาสขึ้นชินคันเซ็นมาถึงชิซึโอกะได้เลย แต่การเดินทางภายในเมืองต่างๆ นั้นก็อาจจำเป็นต้องเช่ารถขับ หรือนั่งบัส และโบกแท็กซี่อยู่ดี เพราะพาสสามารถใช้ขึ้นได้เฉพาะชินคันเซ็น และรถไฟของ JR ค่ะ

 

 

3. Tokyo —> Shizuoka
เดินทางด้วย JR TOKYO Wide Pass


         ข้อเสียของ JR TOKYO Wide Pass คือ มีระยะเวลาการใช้งานแค่ 3 วัน แต่ก็เหมาะมากสำหรับคนที่อยากหาที่เที่ยวใกล้โตเกียว โดยพาสนี้สามารถใช้นั่งรถไฟ JR แบบธรรมดามาถึงสถานี Atami และ Ito ได้ แต่ไม่สามารถใช้ขึ้นชินคันเซ็นได้ ฉะนั้นจึงค่อนข้างเสียเวลาในการเดินทางพอสมควร ก็เลยเหมาะสำหรับคนที่มีแผนเที่ยวอยู่ในชิซึโอกะมากกว่า 1 วัน ซึ่งเราแนะนำว่าควรอยู่มากกว่า 1 วัน เพราะว่าแค่วันเดียวมันรู้สึกไม่พอจริงๆ นะ : )


        ปล. JR East Pass Tohoku Area ก็สามารถใช้นั่งรถไฟ JR มาถึงสถานี Atami ได้เหมือน JR Tokyo Wide Pass นะ แต่เมื่อถึงสถานี Atami แล้วก็ต้องวางแผนเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อเที่ยวในเมืองต่างๆ ของชิซึโอกะเหมือนข้ออื่นๆ จ้า

 

 

แผนเที่ยวชิซึโอกะ 4 วัน 3 คืน

 

 

          ในทริปนี้เราไปมาทั้งหมด 6 เมือง คือ Atami / Mishima / Fujinomiya / Izu / Numazu และเมืองหลวงของจังหวัดซึ่งมีชื่อเหมือนกันเลย นั่นก็คือ Shizuoka โดยอยู่ที่ชิซึโอกะทั้งหมด 4 วัน 3 คืน .. เอาจริงๆ ยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มเลย อยากอยู่ต่อนานๆ เพราะชิซึโอกะเป็นเมืองที่อบอุ่น น่ารักมากจริงๆ

          โดยใน 4 วันนี้ เราเห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มตาอยู่ 2 วัน หนึ่งในนั้นเป็นวันที่แม้แต่คนชิซึโอกะเองยังบอกว่า ยูอาร์เวรี่ลัคกี้มากจริงๆ นะ เพราะเป็นวันที่ภูเขาไฟฟูจิสวยงามมากที่สุดในรอบปี โอกาสดีๆ แบบนี้จะมีอยู่แค่ประมาณ 2 ครั้งต่อปีเท่านั้น อันนี้คนขับรถแท็กซี่และครูฝึกที่โดดพาราไกลดิ้งกับเราเขาคอนเฟิร์มมา ^o^

 

 


ATAMI

 

 

         อาตามิ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งออนเซ็นของจังหวัดชิซึโอกะ ในแถบนี้จะมีเรียวกังติดทะเลซึ่งมีออนเซ็นให้แช่อยู่เรียงราย แต่เราแวะมาเมืองอาตามิด้วยจุดประสงค์เดียวคือ ดูถนนสายซากุระเย็นหรือซากุระหน้าหนาว ซึ่งซากุระที่นี่จะบานเร็วกว่าคาวาซุ (Kawazu) อีกนะ

        ฉะนั้นช่วงที่เราไปคือประมาณปลายเดือนมกราคม ก็มีซากุระบลูมๆ ให้ชมแล้ว ที่สำคัญยังอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวเลย สามารถนั่งชินคันเซ็นจากโตเกียวโดยใช้เวลาแค่ 39 นาทีเท่านั้น!

 

 

         น่าเสียดายที่สายฝนดันโปรยปรายต้อนรับเราในวันแรกที่มาถึง ก็เลยต้องเดินถือร่มชมซากุระ แต่ก็ได้ฟีลไปอีกแบบ โดยถนนสายซากุระที่อาตามินั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Atami เลยค่ะ สามารถโบกแท็กซี่มาได้โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น หรือถ้าใครมาคนเดียวหรือสองคน แนะนำให้ไปยืนรอรถบัสที่อยู่ข้างๆ สถานีรถไฟ แล้วนั่งรถบัสไปลงป้ายที่ชื่อ Ginza หลังจากนั้นจะเจอแนวต้นซากุระเป็นทางยาวเลย เดินถ่ายรูปกันได้เพลินๆ ไปเลยจ้าาา

====================

 

 

 

MISHIMA

 


        หลังจากถ่ายรูปซากุระช่วงฤดูหนาวจนฉ่ำใจ เราก็นั่งรถไฟต่อมาลงที่สถานี Mishima เพื่อแวะไปเที่ยวแลนด์มาร์กแห่งใหม่ล่าสุดของจังหวัดชิซึโอกะซึ่งตั้งอยู่ในเมืองมิชิมะแห่งนี้นี่แหละ แน่นอนว่าแลนด์มาร์กแห่งนี้คงจะเป็นสถานที่อื่นใดไปไม่ได้

 

 

        นอกจาก Mishima Skywalk หรือชื่อเต็มแบบย๊าวยาวว The Hakone Seiroku Mishima Suspension Bridge ที่ตอนนี้ชิงตำแหน่งสะพานแขวนคนข้ามที่มีความยาวที่สุดในญี่ปุ่นไปครอบครองเป็นที่เรียบร้อย ที่สำคัญยังมีนางเอกคนงามอย่างภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังอีกต่างหาก พีคไปอี๊ก!

        น่าเสียดายที่วันนั้นเราไปถึงแล้วฝนกำลังตกพรำๆ เลยได้บรรยากาศหมอกๆ มัวๆ มาแทน แถมคุณฟูจิก็ยังขี้อายหลบอยู่หลังเมฆตามฟอร์ม ก็เลยแว่บเข้าไปนั่งเล่น หลบฝน กินซอฟต์ครีมที่ Sky Garden เป็นคาเฟ่ที่มีสวนดอกไม้ลอยฟ้า สวยมากกกกก ฟรุ้งฟริ้งน่าถ่ายรูปเป็นที่สุด เราว่าสาวๆ ถ้าได้ลองแวะไปคงต้องชอบใจทุกราย : )

 

 

การเดินทางมา Mishima Skywalk

        จากสถานี JR Mishima Station ให้เดินมาทาง South Exit จะเจอป้ายรถบัส หลังจากนั้นให้ขึ้น Tokai Bus ที่ป้ายหมายเลข 5 ลงป้าย Mishima-Oturibashi แต่จริงๆ รถบัสจะเลี้ยวเข้าไปจอดหน้า Skywalk เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที ค่ารถบัส 560 เยน/เที่ยว แต่หน้าป้ายรถบัสจะมีจุดขาย One Day Pass ราคา 900 เยนเท่านั้น สามารถขึ้นลงกี่รอบก็ได้ แนะนำว่าซื้อพาสจะคุ้มกว่าจ่ายเป็นรอบ

====================

 

 

 

NUMAZU

 

 

          จากเมืองมิชิมะ เรานั่งรถไฟ JR Tokaido Line ต่อมาที่เมืองนูมาซุ จากสถานี Mishima มาสถานี Numazu ใช้เวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง คืนนี้เราพักกันที่ โรงแรม Cocochee Hotel ตั้งอยู่ใกล้สถานี Numazu มากกกกก ห้องที่เราจองเป็นห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นแบบโมเดิร์น สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าห้องกว้างกว่าในโตเกียวมาก แต่ราคาเริ่มต้นที่คืนละ 2,7xx บาทเอ๊ง นี่แหละน้า ข้อดีในการมาเที่ยวเมืองบ้านนอกของญี่ปุ่น

 

 

          เรามาถึงโรงแรมในช่วงเวลาเช็คอินพอดี มองดูนาฬิกายังมีเวลาอยู่ค่อนข้างมาก แต่แพลนวันแรกหมดแล้ว ไม่รู้จะไปไหนเพราะฝนตก (แต่พอมาถึงโรงแรมหยุดซะงั้น) เหลือบไปเห็นป้ายตรงล็อบบี้ว่ามีจักรยานให้เช่าด้วย เป็นจักรยานไฟฟ้า (E-bike) ราคา 1,800 เยน/ครึ่งวัน และ 2,500 เยน/ทั้งวัน ก็เลยสอบถามกับทางพนักงาน จากโรงแรมสามารถปั่นไปริมทะเลแถว Numazu Port ได้นะ ที่นั่นมีร้านอาหารทะเลเป็นซีฟู้ดสดใหม่ให้เลือกหลายร้าน

 

 

         เราก็เลยตัดสินใจเช่าจักรยานไฟฟ้าจากโรงแรมปั่นไปหาข้าวเย็นกินที่ Numazu Port ซึ่งระยะทางก็ค่อนข้างไกลเอาเรื่องทีเดียว ประมาณ 2 กิโลกว่า แต่เพราะเป็นจักรยานไฟฟ้าก็เลยชิล แถมยังมีเพื่อนปั่นไปอีก เพราะคนที่โรงแรมกำลังจะปั่นไปที่ Numazu Port พอดี เอ้า! นุ้งขอร่วมวงด้วยเลยจ้า นานๆ ทีจะมีโอกาสได้ร่วมแก๊งค์สิงห์นักปั่น แถมยังเป็นที่ญี่ปุ่นอีกต่างหาก .. มิตรภาพมันเกิดขึ้นง่ายนะ สำหรับนักเดินทาง : )

 

 

         ด้วยความติดใจ เราก็เลยแพลนหาเรื่องจะเช่าจักรยานปั่นเที่ยวอีกในวันรุ่งขึ้นไปเที่ยวเมืองอิซุ (Izu) คนญี่ปุ่นที่ไปปั่นจักรยานด้วยกัน เขาก็เลยแนะนำคอร์สปั่นจักรยานของ MERIDA X Base ซึ่งเป็นร้านเช่าจักรยานเจ้าใหญ่ของเมืองอิซุมา บอกว่ามีคอร์สนึงที่แวะ Izunokuni Panorama Park นะ แต่เป็นคอร์สระยะไกลพอตัว ประมาณ 21.5 กิโลเมตร นุ้งจะปั่นไหวไหมล่ะเดสก๊ะ? .. ด้วยความฮึกเหิมก็เลยตกลงปลงใจกับตัวเองว่าพรุ่งนี้จะปั่นจักรยานเที่ยวเมืองอิซุ กินเยอะมันก็ต้องเอาออก จะได้ผอม! ว่าแล้วก็กินตุนไว้สำหรับวันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน ; p

 

====================

 

 


IZU

 

 

          ถ้าดูจากแผนที่ จังหวัดชิซึโอกะจะมีพื้นที่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลอยู่ส่วนนึง ตรงนั้นคือเมืองอิซุ หรือหลายคนอาจคุ้นหูกันในชื่อ คาบสมุทรอิซุ (Izu-Peninsula) ซึ่งนับเป็นอีกเมืองที่น่าเที่ยวมากในชิซึโอกะ แล้วก็มีแววจะโด่งดังขึ้นอีกหลังจากปี 2020 เพราะ Tokyo 2020 Olympics ที่คนญี่ปุ่นทุกคนต่างตื่นเต้นและเตรียมตัวมานานหลายปีนั้นจะมีการจัดการแข่งขันจักรยานขึ้นในเมืองอิซุด้วย

 

 

        ฉะนั้นมาเยือนเมืองอิซุทั้งที จะให้มาเที่ยวแบบธรรมดาคงไม่ได้ งานนี้เราก็เลยเช่าจักรยานไฟฟ้าจากร้าน MERIDA X Base ซึ่งใหญ่โตโอ่อ่ามากกก เดินเข้าไปนี่นึกว่าอีเวนท์ที่เมืองทอง 555

          ที่นี่นอกจากมีจักรยานให้เช่าแล้ว เขายังขายด้วย สมมติเราเช่าคันไหนไปปั่นแล้วติดใจ อยากจะซื้อก็มาติดต่อที่ร้านได้เลย ส่วนราคาการเช่าจักรยานนั้นก็แบ่งตามประเภทของจักรยาน เริ่มตั้งแต่ 2,000 เยนขึ้นไป
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://www.merida.jp/x-base/facility

 

 

          สำหรับเส้นทางที่เราจะปั่นจักรยานกันในคอร์สนี้จะมีระยะทางอยู่ที่ 21.5 กิโลเมตร ฟังดูเหมือนไกลและเหนื่อย แต่ถือเป็นเส้นทางสำหรับมือใหม่แล้วนา ถ้าเป็นมืออาชีพนี่คงเบๆ ไปเลย ที่เราเลือกคอร์สนี้เพราะได้ปั่นไปที่ Izunokuni Panorama Park ด้วย แถมยังได้แวะเก็บสตรอว์เบอร์รีหวานๆ กินที่ Ema Strawberry Picking Center อีกต่างหาก ถือว่าไม่ใช่เส้นทางสำหรับสิงห์นักปั่นจนเกินไป เพราะมีจุดท่องเที่ยวและวิวสวยๆ ให้แวะถ่ายรูปด้วย

====================

 

 

 

IZUNOKUNI PANORAMA PARK

 

 

         ถ้า Mishima Skywalk หรือแลนด์มาร์กแห่งเมืองมิชิมะ Izunokuni Panorama Park ก็ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กแห่งเมืองอิซุเขาล่ะ ที่นี่เป็นสวนสาธารณะลอยฟ้าที่มีนางเอกคนงามเป็นฟูจิซังเช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีจุดแช่ออนเซ็นเท้าที่นั่งเพลินๆ มองดูภูเขาไฟฟูจิในวันฟ้าใสด้วย

 

 

        โดยการเดินทางขึ้นไปยัง Izunokuni Panorama Park จะต้องนั่งกระเช้าลอยฟ้าหรือ Ropeway ประมาณ 7 นาที พอขึ้นไปถึงสวนด้านบนเราก็จะสามารถมองเห็นวิวของเมืองอิซุได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ฟูจิซังเขาขี้อายอีกแล้ว ถ้าใครได้ขึ้นไปเห็นแบบจังๆ นี่คงจะสวยงามมากกก สำหรับราคา Ropeway จะอยู่ที่ 1,800 เยน (ไป-กลับ) เปิดทุกวันตั้งแต่ 9.00-17.00 น. จ้า

====================

 

 

 

EMA STRAWBERRY PICKING CENTER

 

 

       สารภาพตามตรงว่าไปญี่ปุ่นมาก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยเข้าไปเก็บสตรอว์เบอร์รีในสวนที่ญี่ปุ่นเลย ทริปนี้ได้โอกาส เพราะ Ema Strawberry Picking Center อยู่ในคอร์สปั่นจักรยานพอดี ซึ่งเราไม่รู้ว่าสวนอื่นๆ เป็นยังไงนะ แต่ที่นี่สตรอว์เบอร์รีหวานมากกกกกกกกกกกกก หวานฉ่ำที่สุดเท่าที่เคยกินมา

 

 

       โดยที่นี่เขาจะปลูกสตรอว์เบอร์รี 2 แบบ คือปลูกกับแปลงแบบทั่วไปที่หลายคนอาจเคยเห็นกัน กับอีกแบบคือปลูกในดิน ซึ่งแบบหลังเนี่ย .. ขุมทรัพย์จริงๆ แกเอ๊ยยย หวานแบบไม่ต้องพึ่งนมพึ่งน้ำตาลกันเลยทีเดียว
จากนี้ถ้าใครมีแพลนจะไปเก็บสตรอว์เบอร์รีที่ญี่ปุ่น เราอยากให้ลองหาสวนที่ปลูกในดินดู คือมันอร่อยและหวานฉ่ำมากกว่ามากจริงๆ แต่ถ้าใครแวะไปเที่ยวชิซึโอกะล่ะก็อยากให้ลองแวะมาที่นี่ดูนะ เพราะนอกจากสตรอว์เบอร์รีจะหวานอร่อยแล้ว วิวรอบๆ ยังสวยมากอีกด้วย

 

ลองดูรายละเอียดจากลิงก์นี้เลยเด้อ https://ema-ichigo.com

====================

 

 

 

IKESUYA

 

 

        ก่อนจบคอร์สปั่นจักรยาน เราแวะกินข้าวเที่ยงที่ ร้าน Ikesuya ซึ่งเป็นร้านแนะนำของคนญี่ปุ่นเลยนะ เพราะที่นี่เขาโด่งดังเรื่องปลา Aji หรือปลาทูญี่ปุ่นมากกกก เรียกว่าเป็น Japan No.1 Aji Fish เลยทีเดียว

 

 

       ถ้าใครยังไม่เคยกิน รสชาติจะคล้ายปลาทูของบ้านเรา ก็เลยเรียกกันว่าปลาทูญี่ปุ่น โดยเมนูของร้านนี้จะมีทั้งแบบย่าง ชุบแป้งทอด แล้วก็สดสไตล์ซาซิมิ ถ้าสั่งแบบสด ในชุดจะมีน้ำซุปมาให้เทใส่ข้าวกินเหมือนข้าวต้มบ้านเราด้วย แต่เราแนะนำแบบย่าง อร่อยมากกกกก บรรยากาศร้านก็ดี อยู่ติดกับท่าเรือและทะเล ถ่ายรูปสวยเวอร์ เอาเป็นว่าแนะนำเลยสำหรับร้านนี้!

 

====================

 

 

 

FUJINOMIYA

 

 

          หลังจากที่มีโอกาสได้มาเที่ยวเมืองฟูจิโนมิยะแห่งนี้ เมืองนี้ก็ได้แซงทางโค้งเบียดซ้ายแทรกขวาขึ้นมาเป็นเมืองโปรดอันดับแรกๆ ในใจไปเป็นที่เรียบร้อย ยิ่งถ้าใครเคยไปคาวากุจิโกะแล้วชอบ เราว่าถ้าได้ลองมาที่นี่อาจมีสิทธิ์ใจละลายได้เลยทีเดียว เพราะฟูจิโนมิยะเป็นเมืองที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้แบบใหญ่โตเต็มตามากกกกก แถมบรรยากาศของเมืองยังอบอุ่นน่ารัก ไม่ว่าจะเดิน จะนั่งอยู่มุมไหนก็สามารถสบตากับฟูจิซังได้ไม่ยาก แล้วถ้าใครเป็นคนชอบถ่ายรูปจะยิ่งเพลิดเพลินใหญ่ เพราะมีมุมแปลกตาให้ถ่ายรูปฟูจิซังแบบไม่รู้เบื่อเลย

       สำหรับการเดินทางนั้น ถ้าเที่ยวอยู่ในจังหวัดชิซึโอกะอยู่แล้ว สามารถนั่งรถไฟ JR Minobu Line มาลงที่สถานี Fujinomiya ได้เลย แต่ถ้ามาจากโตเกียว แนะนำให้นั่งชินคันเซ็นมาลงที่สถานี Shin-Fuji แล้วต่อรถบัส Fujikyuko Bus ใช้เวลาประมาณ 35 นาที จะเป็นวิธีที่สะดวกสุด

       สำหรับรถบัส สามารถใช้ Mt. Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass Mini นั่งรถบัสฟรีเที่ยวรอบเมืองฟูจิโนมิยะได้เลย ดูตารางเวลาของรถบัสได้จากลิงก์นี้ http://bus-en.fujikyu.co.jp

        หรือถ้าสะดวกนั่งรถไฟให้ลงที่สถานี Mishima แล้วต่อรถไฟ JR Tokaido Line ลงสถานี Fuji แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟ JR Minobu Line มาลงที่สถานี Fujinomiya หลังจากนั้นจะนั่งบัสเที่ยวก็ได้

====================

 

 

 

MT. FUJI WORLD HERITAGE CENTRE

 

 

         ดีงามพระรามแปดมากก ที่นี่คือ พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิ ที่ทำดีที่สุดสำหรับเราเลย แถมยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Fujinomiya สามารถเดินไปได้โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ..

        ที่นี่นอกจากจะมีมุมถ่ายรูปสวยๆ หลายมุมแล้ว เขายังออกแบบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ให้เป็นทรงกรวยคล้ายภูเขาไฟฟูจิ ส่วนภายในมีการคิดคอนเซปต์ให้เรากลายเป็นนักปีนเขาที่กำลังเดินขึ้นไปพิชิตยอดของภูเขาไฟฟูจิ โดยระหว่างทางมีการจำลองบรรยากาศของภูเขาไฟฟูจิชั้นต่างๆ ฉายให้ดู เดินวนเป็นวงกลมขึ้นไปจนกระทั่งถึงชั้นบนสุดซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ .. นั่นก็คือวิวของภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามอลังการเวอร์วังมากกก

 


         วันนั้นที่เราไปเป็นวันที่ท้องฟ้าสีสวยและใกล้ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกพอดี บรรยากาศดีมากจ้าพี่จ๋า แนะนำว่าเดินดูในพิพิธภัณฑ์เสร็จแล้วออกมารอถ่ายรูปภาพฟูจิซังสะท้อนน้ำด้วยนะ รับรองว่าต้องมีรูปสวยๆ กลับไปอัพอวดเพื่อนในโซเชียลแน่นวล!

 

 

         Mt.Fuji World Heritage Centre เปิดทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น. (กรกฎาคม – สิงหาคม เปิดถึง 18.00 น.) ค่าเข้าคนละ 300 เยน

 

         ส่วนตัวเราจองกิจกรรมทำขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นแยกไว้ต่างหาก ไม่ได้ใส่กิโมโน เห็นว่าไหนๆ ก็มีเวลาอยู่ในเมืองฟูจิโนมิยะแล้ว และสถานที่เรียนทำขนมนี้ก็ตั้งอยู่ในตัวเมือง ใกล้กับ Mt. Fuji World Heritage Centre เลย ที่น่าสนใจก็คือ พอเรียนทำขนมเสร็จแล้ว เขาจะพาเราเดินไปที่บ้านโบราณอายุนับร้อยปี เพื่อนั่งจิบชาและกินขนมที่เราทำเองกับมือด้วย

 


         เอาจริงๆ เราว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยนะ กับการลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องภาษา เพราะเขามีคนที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไว้เป็นล่ามคอยแปลภาษาญี่ปุ่นจากเซ็นเซที่สอนทำขนมให้เราด้วย สำหรับค่าเรียนทำขนมจะอยู่ที่ 2,900 เยน/คน

 


ใครสนใจก็ดูรายละเอียดได้จากลิงก์นี้เลย https://shizuoka-guide.com

====================

 

 

 

FUJISAN HONGU SENGEN TAISHA

 

 

         เดินมาไม่ไกลจาก Mt. Fuji World Heritage Centre ก็จะเจออีกหนึ่งมุมถ่ายรูปฟูจิซังที่เราอยากแนะนำ! โดยจุดถ่ายรูปนี้จะตั้งอยู่ใน ศาลเจ้าฟูจิซันฮงงูเซ็นเก็งไทชะ ที่คนญี่ปุ่นให้ความเคารพบูชา ถ้าใครผ่านมาเมืองฟูจิโนมิยะแห่งนี้ก็แนะนำให้เข้ามาไหว้ขอพร เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิคือจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง ฉะนั้นลำธารที่เห็นในรูปซึ่งเป็นน้ำที่ไหลมาจากภูเขาไฟฟูจินั้นจึงมีความศักดิ์สิทธิ์

 


         ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นบอกว่ากินแล้วจะโชคดี ซึ่งจริงๆ มันก็คือน้ำแร่บริสุทธิ์ ฉะนั้นกินได้ ไม่สกปรกนะ เรากินมาแล้ว รสชาติเหมือนน้ำแร่ทั่วไปที่ขายในมินิมาร์ทเลยค่ะ แต่แนะนำว่าไม่ต้องกินเยอะ แค่จิบๆ ให้พอเป็นมงคลก็พอจ้า

====================

 

 

 

SKY ASAGIRI

 

 

          ทริปนี้เรามาเพื่อเล่นพาราไกลดิ้งชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งสถานที่เล่นพาราไกลดิ้งนั้นก็ตั้งอยู่ในเมืองฟูจิโนมิยะนี่แล โดยเราจองกิจกรรมนี้จากในเว็บไซต์ > Paragliding Mount Fuji Travel : https://shizuoka-guide.com/tsj/english/mountfujitravel/outdoor-activity/paragliding.html < ราคาคนละ 10,000 เยน ตกประมาณ 3,000 บาทไทย ซึ่งถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับการได้เห็นวิวฟูจิซังจากบนท้องฟ้า! ที่สำคัญยังถือว่าค่อนข้างถูกกว่ากิจกรรมพาราไกลดิ้งในประเทศอื่นๆ ด้วยนา

 

 

         ความรู้สึกตอนอยู่ข้างบนคืออิสระมาก สนุกและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด จะมีเสียวๆ ก็แค่ตอนที่ต้องวิ่งเพื่อเตรียมลอย แต่พอหลังจากขาไม่แตะพื้นแล้วก็สบายยยย วิวสวยเวอร์ๆ ร้องสุโก้ยไม่หยุดเลยเรา นับเป็นประสบการณ์ที่ควรไปลองสัมผัสดูสักครั้งในชีวิต : )

 

====================

 

 

 

ASAGIRI FOOD PARK

 

 

         หลังจากเล่นพาราไกลดิ้งจนฟินและได้รูปสวยๆ กลับมาอวดที่บ้านแล้ว เราก็แวะไปกินข้าวที่ Asagiri Food Park ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านพาราไกลดิ้งเลย ตรงจุดนี้จะเป็นคล้ายอเวนิวที่มีร้านอาหารหลายๆ ร้าน โดยทุกร้านสามารถกินข้าวพลางชมภูเขาไฟฟูจิไปด้วยได้เลย เพราะมีฟูจิซังตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลัง ..

 

 

       วันที่เราไปถึง มีหิมะตกด้วยยยยยย ถือว่าโชคดีมากกกก เพราะหิมะช่วยเพิ่มความสวยงามของฟูจิซังได้อีกหลายเท่า แถมแดดยังดีแล้วอากาศก็ไม่หนาวเท่าไรด้วยค่ะ

        ส่วนร้านอาหาร เราแนะนำร้าน Buffet Restaurant Fujisan เป็นร้านอาหารแบบบุพเฟ่ต์ที่มีวิวฟูจิซังให้มองจากกระจกบานใหญ่ของร้าน อาหารอร่อยและมีคุณภาพ ถึงแม้จะเป็นบุพเฟ่ต์ ที่สำคัญพุดดิ้งอร่อยมากกก ส่วนค่าอาหาร มื้อกลางวัน คนละ 1,800 เยน เด็กอายุ 7-12 ปี คนละ 1,300 เยน และเด็กอายุ 4-6 ปี คนละ 800 เยนจ้า

 

====================

 

 

 

FUJINOMIYA YAKISOBA

 

 

       ลองถามคนญี่ปุ่นว่าอาหารขึ้นชื่อของเมืองฟูจิโนมิยะคืออะไร? ก็ได้คำตอบว่า ยากิโซบะของเมืองนี้ขึ้นชื่อมากทีเดียว เพราะมีสูตรเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร พร้อมกับแนะนำร้านยากิโซบะเจ้าอร่อยของเมืองนี้มาให้อีกด้วย นั่นก็คือ ร้าน LYB豚 & Cafe Fujiboku ตั้งอยู่ในตัวเมืองฟูจิโนมิยะนี่แล

 

 

        โดยเมนูแนะนำของร้านแน่นอนว่าคือยากิโซบะ เส้นเขาจะเล็กและมีความหนึบๆ กว่ายากิโซบะของทางคันไซ นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูอื่นๆ เช่น สเต็กหมู รวมไปถึงซอฟต์ครีมเหล้าสาเก และซอฟต์ครีมชาเขียวด้วย ถ้าใครแวะไปเมืองฟูจิโนมิยะเราแนะนำว่าควรไปฝากท้องสักมื้อจ้า

 

====================

 

 

 

SHIZUOKA

 

 

        เรามาปิดท้ายทริปชิซึโอกะกันวันสุดท้ายที่ในตัวเมืองชิซึโอกะซึ่งพวกเธอสามารถค้นพบความเจริญได้จากที่นี่ 5555 เหตุผลที่มาพักในตัวเมืองวันสุดท้ายก็เพราะจะได้นั่งชินคันเซ็นยิงยาวจากสถานี Shizuoka กลับสนามบินฮาเนดะได้เลย

 

 

        โดยกิจกรรมที่เราเลือกทำในเมืองชิซึโอกะก็ไม่พ้นเช่าจักรยานปั่นอีกเช่นเคย เพราะติดใจมาก ไหนๆ ก็มีโอกาสได้ปั่นจักรยานนอกตัวเมืองชมบรรยากาศธรรมชาติไปแล้ว ก่อนกลับไทยขอมีโอกาสได้ปั่นเที่ยวในตัวเมืองที่มีรถเยอะๆ ดูบ้าง

 

 

         คอร์สจักรยานที่เราเลือกคือ ปั่นไปชมไร่ชา นั่งรถไปแบบธรรมดามันก็ไม่ใช่ Movearound Journey #เที่ยวอินดี้แบบมีแผน สิจ้า ; p และแน่นอนว่าเราจองกิจกรรมนี้จากเว็บไซต์เดิม > https://shizuoka-guide.coml < โดยในคอร์สนี้เขาจะพาเราปั่นไปชมไร่ชา Moriuchi Tea Farm เป็นไร่ชาที่มีชื่อเสียงของเมืองชิซึโอกะ

 

 

         โดยปั่นจักรยานผ่านตัวเมือง แวะตามจุดต่างๆ เล็กน้อย ระยะทางค่อนข้างไกลเหมือนกัน ปั่นไปประมาณ 1 ชั่วโมง น่าเสียดายที่ช่วงนี้ชายังไม่เขียว ยังไม่ใช่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว แต่ก็มีโอกาสได้เข้าไปนั่งชิมชาขึ้นชื่อของชิซึโอกะ สำหรับคนรักชาเขียวอย่างเราแล้วโคตรฟิน!

 

 

        ยังค่ะยัง .. ดื่มชาเขียวร้อนๆ แล้วมันยังไม่หน่ำใจ ก่อนนั่งชินคันเซ็นกลับไปสนามบิน เราแวะไปกินไอศกรีมเจลลาโต้ที่ ร้าน Nanaya เป็นร้าน Matcha Gelato ที่แสนโด่งดังของเมืองชิซึโอกะ โดยเราสามารถเลือกความเข้มข้นของชาเขียวได้ มีทั้งหมด 7 ระดับ ถ้าเลือกระดับ 7 ก็คือเข้มข้นสุดเลย

 

 

        ถ้าใครคลั่งชาเขียวแบบเราแนะนำให้เลือกระดับ 7 แต่ถ้าใครไม่ได้ปลื้มชาเขียวเป็นพิเศษ เลือกระดับต้นๆ แล้วผสมกับรสชาติอื่นๆ เช่น นม ก็ได้ ราคาจะอยู่ที่ถ้วยละ 340 เยน สำหรับรสชาติเดียว แล้วก็ 440 เยน สำหรับ 2 รสชาติจ้า ร้านอยู่ไม่ไกลจากสถานี Shizuoka สามารถเดินไปได้เลยนะ

 

 

          อีกหนึ่งเมนูห้ามพลาดเมื่อมาเยือนเมืองชิซึโอกะก็คือ โอเด้ง ยิ่งได้กินในวันที่อากาศหนาวๆ ด้วยแล้ว โอ๊ย โคตรฟิน

 

 

        จบแล้วสำหรับทริปชิซึโอกะ 4 วัน 3 คืนของเรา เอาจริงๆ ยังไม่เต็มอิ่มแล้วก็ยังเที่ยวไม่ครบทุกเมืองเลย แต่ก็เป็นทริปที่อัดแน่นไปด้วยประสบการณ์ที่ดีเต็มเปี่ยมมากกกก .. ชิซึโอกะ สำหรับคนญี่ปุ่นนี่ถือว่าเป็นเมืองบ้านนอกนะ แต่ไม่รู้ทำไมเราหลงรักบรรยากาศบ้านนอกแบบนี้จัง

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ และภาพจาก เพจ Movearound Journey

 

 

อัพเดทที่พักสุดชิล ที่เที่ยวสุดมันส์ ที่กินสุดฮิป

ติดตาม travel.trueid.net ได้ที่