รีเซต

Bromo อินโดนีเซีย 4 วัน 3 คืน ในงบ 15,000 บาทไทย

Bromo อินโดนีเซีย 4 วัน 3 คืน ในงบ 15,000 บาทไทย
เอิงเอย
15 กันยายน 2559 ( 08:56 )
35.5K

BROMO trip – Indonesia

4 days 3 nights — budget 15,000 baht

 

รีวิวนี้จะไม่ใช่รีวิวแบบจ๋าข้อมูลแน่นๆ เด้อ เพราะจะลงรูปตามใจตัวเอง และรีวิวตามที่เจอมาจริงๆ และอยากเล่าทุกอย่างที่อยากเล่า ซึ่งยาวมากแน่ๆ 5555 ตามไปเที่ยวกันที่ Bromo อินโดนีเซีย

 

 

————- A i r t i c k e t ———-

 

ทริปนี้ไปกับผองเพื่อนที่รู้ใจ ไปกัน 7 คน จองตั๋วกันแบบมั่วมาก เพราะมันไม่มีไฟท์บินตรงเลย คือถ้าจะไป Bromo สนามบินที่ใกล้สุดคือ surabaya ซึ่งไม่ได้ถึงเลยต้องต่อรถอีกประมาณ 6 ชั่วโมง และถ้าลง Jakata ต้องต่อรถมาโบร่โม่อีกแบบเป็นสิบชั่วโมง และ Air Asia ก็ดันไม่มีบินตรงไปถึง Surabaya เลย ทำให้ต้องไปต่อเครื่อง คือนั่งจาก

Dmk – Jakata และ Jakata – Surabaya อ้อมไปอีกกกก ออกจากไทยคืนวันศุกร์ ถึงจากาต้าตีหนึ่ง นอนสนามบินและต่อมาสุราบายา ถึงวันเสาร์เช้า ค่าตั๋วประมาณเกือบ 7 พันของ Air Asia ซื้อแบบแยก ไฟท์เลยถูกแต่เสียเวลาในการมาซื้อแยกเอาเอง

 

 

———– T o u r ————

ต้องบอกก่อนเลยว่าทริปนี้ไปกันแบบไม่มีใครหาข้อมูลมาก่อนเลย คือจ้างไกด์ท้องถิ่นที่เพี่อนของเพื่อนเคยไปแล้วดี เลยขอไลน์มา และบอกวันเวลาที่จะไปให้เค้า และเค้าจะวางแผนให้ว่าไปไหนก่อนหลัง พร้อมคิดราคาเหมาให้

 

 

โดยรวมคือดูแลดีมาก จัดการให้หมด ราคาขึ้นอยุ่กับจำนวนวัน และสถานที่ที่ไป อย่างทริปนี้ค่าไกด์ 2,000,000 idr หรือประมาณ 5,300 บาท รวมทุกอย่าง ค่ารถตู้ ค่ามอ’ไซค์ ค่ารถจี๊บ ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ค่าโรงแรม 3 คืน + อาหารเช้า ค่าอุปกรณ์ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องควักตังเลย จ่ายรอบเดียวจบ ไม่รวมแค่ค่ากินมื้อเที่ยงและเย็น และค่าม้า

 

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

 

 

D a y 1 – Surabaya – Madakaripura – Bromo

ถึงสนามบิน Surabaya ก็เดินทางไป Bromo เลย แต่แวะที่น้ำตก Madakaripura ก่อน
คือเนื่องจากไม่มีการหาข้อมูลไรเลย ทุกคนไปแบบไม่รู้เลยว่าจะเป็นไง ก็เตรียมไปแค่เสื้อกันฝนตามที่ไกด์บอก ไปถึงขึ้นเขาแบบชันไปอีก จะอ้วกไปอีก ต่อด้วยต่อมอ’ไซค์ขึ้นเขาที่ชันกว่าเดิมอีกประมาณสิบนาที ต่อด้วยเดินอีกประมาณกิโลนึง เข้าไปเรี่อยๆ ก็สวยดี เห็นคนเดินสวนออกมา แบบเปียกโชก เราก็คุยกับแบบเออดีนะ เล่นน้ำกันมะทุกคนนน

จนใกล้ๆ ไกด์ให้ใส่เสื้อกันฝน เราก็ใส่อ่ะ สงสัยแบบจะเปียกนิดๆ หน่อยๆ พอเจอน้ำตกช็อตแรกโอยยด้วยความที่สูงมากกก สาดดดดแบบเปียกกก และกำลังจะถ่ายรูปไกด์บอกยังไม่ต้อง เราจะเข้าไปข้างในกัน ทุกคนแบบอ้าวววต้องเดินผ่านอีน้ำตกนี่เข้าไปหรอออ เดินเข้าไปแบบโอยยน้ำตกตกใส่หัวเจ็บบบไปอีก เข้าไปถ่ายรูปออกมาจากด้านในนน เริศศศศ

 

 

ยังไม่หมด ต้องปืนเขา เข้าไปเจออีกชั้น ปีนเขาแบบเสี่ยงไปอีกกกก ไม่มี safety อะไรทั้งนั่นนน ตกคือหัวโคกหิน ตกน้ำตายยยแน่นอน ทุกคนแบบเอาาาลุยยยก็ลุยวะ ปืนเขา เสียวและลื่นไปอีกกกก แต่พอเจอข้างในแล้วโอเคมากคุ้มอยู่ แบบน้ำตกสูงมาก สูงแบบต้องถ่ายพาโนรามาแบบแนวตั้งเลยจ้า แต่เอาออกมาถ่ายได้แปปเดียวเครื่องดับจ้าาา เพราะน้ำแบบสาดตลอดเวววววว แนะนำให้โกโปรรรรเท่านั้นจริงๆ นี่พลาดมากไม่ได้เอาไป เลยไม่มีรูปอะไรรรเลยยย เพราะแค่ปืนเอาตัวรอดยังจะไม่ไหวววว 555555

 

bromo-18

 

โดยรวมที่นี่คือดี โหดระดับ 3 ไม่มาก ความอันตรายให้ 3 ดาว adventure เบาๆ กำลังดีสำหรับวันแรก หลังจากนั้นก็ ขับรถต่อไปอีกแปปนึงเข้าที่พักที่ Bromo แนะนำว่าใครเมารถ กินยากันไปก่อน เพราะขับขึ้นเขาแบบยิ่งกว่าแม่ฮ่องสอนอีกจ้าาาาา

อากาศวันนี้ที่น้ำตกไม่หนาว เหมือนไทยแค่เปียก ส่วนเมื่อถึงโบรโม่หนาวอยู่ ประมาณ 10 องศา ลมเบาๆ

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

Day 2 – Bromo MT. – Panajakan – Whispering Sand – Savana – Bromo Crater

ตื่นตีสองจ้า เพราะต้องออกจากที่พักตอนตีสาม ขับรถขึ้นไปที่ Panajakan ก่อน ซึ่งเหมือนขึ้นไปบนเขาเพื่อดู topview ของ Bromo เป็นจุดชมวิว ขึ้นรถจี๊บไปประมาณ 30 นาที เพราะโรงแรมอยู่ใกล้ และเดินขึ้นเขาอีกประมาณ 15 นาที หนาววววไปอีก ขึ้นไปถึงแบบตอนตีสี่ โอ๊ยยยคนแน่นนนไปอีกกกกก ไม่มีที่จะยืนเลยจ้าาา สุดท้ายต้องเหมือนมุดรั้วออกไปในที่มี่เค้าไม่ให้ยืน แบบอันตราย เราก็ไปซุกกันอยุ่ตรงนั่นจ้า รอดูพระอาทิตขึ้นอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง หนาวววสุด เตรียมผ้าพันคอ ถุงมือ หมวกไปด้วยยจะอุ่นดี พร้อมหาของกินไปด้วย หิวมาก

 

ช็อครอบที่ 1 วันนั้นหมอกลงเยอะมากกกก แทบจะไม่เห็น Bromo เลย พระอาทิตย์ขึ้นก็โดนหมอกบัง ได้ถ่ายรูปเก็บไว้นิดหน่อย ไม่เห็นมาก เซงไปอีกกกก

เดินกลับลงมาที่รถ ขับไปต่อที่ Whispering sand ช็อครอบสอง หมอกเยอะเหมือนเดิม มองไม่เห็นอะไรไปอีกกกกกก ไหนวะที่เค้าถ่ายรูปสวยๆ กัน ทุกคนมองหน้ากันแบบ อีหมอกกกกกกกก ออกไปที แดดก็ไม่มี จบจบจบ ถ่ายรูปกับความไม่เห็นอะไรกันไปคนละนิด

ไปต่อที่ ทุ่งหญ้า Savana ลานเทเลทับบีของเราาาา ไปถึงแล้วช็อครอบที่สามจ้า หญ้าแบบสีเหลืองเหมือนตายยยยยไปอีกกกกก ไหนหญ้าเขียวขจีของเราาาาาาาา สงสัยเป็นแบบฤดูหญ้าตาย แต่ก็แบบพอทน ถ่ายรูปกันไปนิดเดียววว

 

จากนั่นเราก็ไป Bromo crater คือไปขึ้นปากปล่องโบร่โมกัน อันนี้ไม่ช็อคคคค อันนี้ถือว่าดี แดดเริ่มมา อากาศดี ขับรถผ่านทะเลทราย Whispering Sand ไปนิดเดียว ก็จอดรถ นั่งม้าต่อ ซึ่งจะมีคนจูงม้าเราไปนะ พอเราลงจากรถปุ๊ปจะมีแบบเจ้าของม้าเอากระดาษที่เขียนชื่อม้าของเค้ามารีบยื่นให้เราแย่งกันเลย ซึ่งเราก็ตกใจหยิบมา เลยไม่ได้เลือกม้าก่อนเลย เพื่อนบางคนตัวใหญ่มากได้น่งม้าตัวกระจิ๊ด 5555 แนะนำว่าอย่าพึ่งรีบหยิบใบชื่อมา ให้เดินเลือกดูก่อนดีกว่าว่าเอาตัวไหน ค่าม้า 100,000 idr 300 บาท

 

ขี่ม้าไปประมาณสิบนาที ขึ้นเขาลงเขาไป ขึ้นไปถึงจุดจอดม้า ต้องเดินต่อไป จริงๆ เดินไปถึงทางขึ้นแบบ 2 นาทีถึง แต่นี่ใช้เวลากันแบบประมาณ 20 นาที ถ่ายรูปจ้าาาาา คือวิวภูเขาตรงนั่นคือเริศไปอีกกกกกก เหมือน wallpaper จนถ่ายกันจนหนำใจแล้วเดินไปขึ้นบันไดไปที่ปากปล่อง ซึ่งอย่าเรียกว่าบันไดเลยย เพราะดินแบบไหลลงมา เป็นสไลดเดอเลยจ้าาา แทบไม่มีขั้นให้เดิน ส่วนฝั่งปากปล่องมีที่กั่นเตี้ยๆอยู่ ซึ่งดินแถวนั่นคือก็ร่วนพร้อมเท โอโหหหห ทุกคนต้องดูแลตัวเองงงงจริงๆ ไม่มีเจ้าหน้าที่ใดได ถ้าตกไปฝั่งปล่องคือตาย ไม่มีคนช่วยได้แน่นอน

 

โดยรวมโอเค สวยงามยิ่งใหญ่ตามท้องเรื่อง ปากปล่องสวยอยู่ แต่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่าที่ตาเห็น ของจริงแบบยิ่งใหญ่อลังการ อากาศดี ติดแค่อันตรายอยู่ต้องดูแลตัวเองของจริง ความโหดให้ 2 ดาว ความอันตรายให้ 4 ดาว ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แดดร้อนอย่างเดียว หลังจากนั้นกลับโรงแรม 9 โมงเช้า เก็บของกินข้าวเช้า ออกจากโรงแรมไป Ijen ต่อ ใช้เวลาอีกแบบ 7 ชั่วโมงถึงค่ำๆ พอดีรีบอาบน้ำนอน เพราะเที่ยงคืนตื่น

 

 

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

 

D a y 3 – Kawah Ijen

 

คำแรกเลยคือโหดสัสๆ ค้าาาาาา ตอนแรกก็รู้แล้วนะว่าจะโหด แต่พอเจอจริงๆ แบบโอยยยย รอบเดียวพอจ้า คือตื่นเที่ยงคืน อย่าเรียกว่าตื่นดีกว่า เรียกว่าไม่ได้นอน เสร็จแล้วไปที่เขา เตรียมความพร้อม แจกจ่ายเครื่องกรองอากาศ เพราะข้างบนจะกัมมะถันจะแรงมาก เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะจะไม่ได้เข้าไปอีกแบบ 9 ชั่วโมงจ้า

 

 

พร้อมปุ๊ปเริ่มเดิน ระยะทาง 3 กิโล แต่ใช้เวลาเดิน 3 ชั่วโมงจ้าาาา หนาวสุดๆ สั่นแบบโอ๊ยยยย เดินไปแรกๆ ทางก็ลาดขึ้นปกติ ไปซักพัก ชันแบบชันนนโอ๊ยยย ประมาณแบบ 60 องศาไม่ได้โม้ แบบต้องพักทุกแบบ 5 นาที ไม่ไหวแบบ ไม่ไหวของจริง แล้วชันแบบตลอดเวลา ไม่ใช่ชันสลับราบนะ ชันแบบทั่งทางขึ้นนนน พักก็พักแบบชันๆ นั่นแหละ ต้องฟิตร่างกายไปแบบสุดๆ จริงๆ ระหว่างทางจะมีบริการเข็นคุณขึ้นไป ใครไม่ไหวก็เสียเงินกันไป ไม่รู้เท่าไหร่ ไม่ได้ถาม

 

 

พอเดินไปได้ประมาณ 1 โลที่แสนยาวนานนนน และเหนื่อยแบบแทบตาย ก็จะเจอมินิมาร์มเล็กๆ เป็นสัญญานว่าครึ่งทางแล้ว เหมือนเดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ครึ่งหลังจะเป็นเดินลงเขา นี่ก็แบบโอ๊ยเดินลงสบายยยยละ ปรากดว่าเดินลงแบบทางเดินแบบอย่าเรียกว่าทางเลย ข้างทางคือมืดมาก ไม่มีแม้แต่ไฟดวงเดียว เป็นเหวตลอดทาง ต้องดูทางดีดีมากมาก พอใกล้ๆ จะเริ่มไม่มีทางแล้ว เป็นชั้นหิน ที่ไม่รู้ว่าทางไหนคือทาง ต้องตามไกด์ท้องถิ่นไป หินที่พร้อมจะพลิกได้ทุกเมื่ออออ และจะสวนทางกันคนขายกัมมะถันที่จะแบกกัมมะถันสวนขึ้นมา หนักมากกก ต้องหลีกทางให้เค้าในขณะที่ก็ต้องดูตัวเองไม่ให้กลิ้งตกเขาจ้าาา

เราลงไปเพื่อดู blue flame เป็นเหมือนไฟสีฟ้า ซึ่งทำให้เกิดอีแก๊สซัลเฟอร์ที่ทำให้หายใจไม่ออกนี่แหละ พอไปถึงใกล้ๆ ก็มองไม่เห็นอี blue flame นี่มากหรอก เพราะก๊าซเยอะมาก ได้แต่ถ่ายรูปอยู่ใกล้ๆ ทุกคนก็แบบ เห้ยย ดี๊ดีอ่ะ ไม่เหม็นเลยไม่โดนแก๊สเลยก็นั่งชิวถ่ายรูปกันไป

 

 

จังหวะนั้นเองที่ลมเปลี่ยนทิศกลับมา โอโหหหห เหมือนอยู่ในกลางพายุทอร์นนาโดซัลเฟออออ คือแบบควันแบบกลบพวกเราเลย แบบมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นหน้ากากก็เอาไม่อยู่ หายใจไม่ได้เลย สูดเข้าไปปืดเดียวแสบไปถึงปอดด ทุกคนก้มลงต่ำมากแบบจะติดพื้น ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น โมเม้นนั้นคือเอาตัวเองให้รอดก่อน ต้องหายใจให้ได้ก่อน คือต้องอดทนอย่างเดียว สุดท้ายมันเบาบางลงทุกคนแบบกูไม่รอไกด์มาละ วิ่งหนีขึ้นที่สูงเลยซึ่งสูงยังไงก็หนีควันไม่พ้น ทุกคนแบบจั่มๆ ขาเดิน ไม่พูดอะไรใดใด แบบหนีตายสุด จนพอสูงระดับหนึ่งพอดีอากาศแล้วนั่งมองหน้ากันแบบ เชี่ยยยยยยกูมารอบแรกและรอบเดียวนะ บายยยยยย 555555 เกือบตายยยย

 

 

ใครจะไปแนะนำว่าให้เตรียมผ้าชุบน้ำไปด้วย มันจะกรองได้ดีในยามคับขันมากกว่า และคอยดูทิศทางลมอยู่ตลอด หาทางหนีทีไร่ดีดี ไม่งั้นจะเจอแบบพวกเรา 5555 แต่มันก็มันส์ดีนะ ได้ประสบการณ์มากๆ ดี ถึงพื้นราบสิบโมงเข้าพอดี รวมเวลาเดินทั้งหมด 10 ชั่วโมงพอดีจ้า สำหรับ Ijen

โดยรวมผ่านมาได้คือภูมิใจในตัวเองมากๆ 555 คือเหนื่อยมาก แต่ก็สนุกมาก ถือว่าคุ้มอยู่กับความสวยงาม ความโหดเอาไปเต็มห้าดาว ความอันตรายก็เอาไปเต็มห้าดาวววววเลยจ้า นี่ก็ไม่รู้ว่าก๊าซที่สูดลงปอดไปนี่จะยังไงต่อดี 5555 ไปอันนี้คือได้เรียนรู้เพื่อนเลย ในยามลำบากนี่แหละที่เราจะได้เห็นตัวตนของกันและกัน (แต่กรุ๊ปฉันดีหมดดดดดนะ ช่วยกันหนีตาย help me my friend – by beam 5555)

 

 

หลังจากนั้นก็กลับที่พัก เก็บของ ออกเดินทางกลับไป Surabaya อีกแบบ 8 ชั่วโมง ถึงแล้วก็ขอไปซ่าในเมืองกันซักหน่อยก่อนจะได้นอนเป็นคืนแรก

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Day 4 – Surabaya – Airport

วันสุดท้ายได้นอนเต็มอิ่มหน่อย ตื่นมาก็ไปเดินห้างศรีวิไลกับเค้าบ้าง เดินเล่นหาข้าวดีดีกินบ้าง พร้อมรอกลับไปสนามบิน กลับบ้านเรา ปิดทริปที่ไม่มีคำว่าปลอดภัย แต่สนุกสุดๆ

 

 

โดยรวมทั้งหมดถือว่าคุ้มค่ากับ budget ทั้งหมด 15,000 บาท เสียค่าไกด์ห้าพันกว่า กับค่าตั๋วเครื่องบินเกือบเจ็ดพันเป็นหลัก นอกนั้นแถบจะไม่เสียอะไร อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ข้างล่างร้อนเหมือนไทย แต่พอขึ้นเขาหนาวแบบสิบองศา แต่พอขึ้นไปอีกร้อน เพราะเดินไม่แน่นอน
ใครจะไปแนะนำให้ฟิตร่างกายไปก่อนเยอะๆ มากมาก และน่าจะไปกับเพื่อน ครอบครัวน่าจะไม่เหมาะพ่อแม่ไม่น่าไหว ที่สำคัญต้องหาไกด์ท้องถิ่นดีดี เพราะเค้าจะเป็นนเดียวที่ช่วยเราได้มากที่สุด มั้ง แต่สุดท้ายนั้นคือ ต้องช่วยเหลือตัวเองอยู่ดี

 

 

สรุปแล้วทริปนี้ ถูก สนุก ลุย อันตราย “ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย..ถ้าจะตายขอไม่ตายที่อินโด”

 

ภาพและรีวิวจาก ayla asawasathapon, ig : ayla_a

ตามดูรูปสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่ B R O M O by Ayla Asawasathapon

 

 

ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่

ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com