รีเซต

Slow Life เที่ยวเลย 3 วัน 2 คืน ขึ้นภูเรือ ชมวิถีเกษตร สัมผัสวัฒนธรรมล้านช้าง และวิถีชุมชนอันงดงาม

Slow Life เที่ยวเลย 3 วัน 2 คืน ขึ้นภูเรือ ชมวิถีเกษตร สัมผัสวัฒนธรรมล้านช้าง และวิถีชุมชนอันงดงาม
แมวหง่าว
30 ธันวาคม 2558 ( 12:35 )
16.1K

Words and Photo by แมวหง่าว

เลย หนึ่งในจังหวัดที่หลายคนมักผ่านเลยไปในวันท่องเที่ยวพักผ่อน และมักนึกถึงเพียงเชียงคานเมื่อเอ่ยถึง แต่จังหวัดเล็กๆ เช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับวันสบายๆ เที่ยวแบบเนิบช้าปล่อยใจสบายๆ แวะไหว้พระ ชมดอกไม้ สัมผัสวิถีเกษตรแบบพอเพียง และความงดงามของผู้คนที่น่ารักเรียบง่าย ในเขตอำเภอนาแห้ว ด่านซ้าย และภูเรือภายในเวลาเพียง 3 วัน 2 คืนครับ

 

สำหรับทริปนี้ก็พิเศษตรงที่ทาง Travel Truelife ไปเที่ยวจังหวัดเลยด้วยกันกับสุขนิยมทัวร์ และวิทยากรพิเศษ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซ่า ที่วันนี้เป็นผู้สอนหลักธรรมมะ และการบริหารยุคใหม่แบบนอกกรอบให้กับบริษัทชั้นนำต่างๆ ดังนั้นรับประกันว่าทริปนี้เราคงได้หลักแนวคิดดีๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านนอกเหนือจากของฝากทั่วไปแน่นอนครับ

 

วันนี้เราออกเดินทางกันช่วงสายๆ หน่อย เดินทางโดยเครื่องบินจากสนามบินดอนเมือง ลงตรงที่จังหวัดเลย ซึ่งทางสุขนิยมก็ดูแลจัดการทุกอย่างไว้ให้เสร็จสรรพแล้ว เราเองก็มีหน้าที่เที่ยวให้เต็มที่ เพียงแค่ก้าวเท้าออกจากเครื่องบินก็รับรู้ได้ว่าอากาศของที่นี่เย็นชื่นใจดีจริงๆ สมแล้วที่เป็นจังหวัดเดียวในภาคอีสานที่มีอากาศหนาว

 

ขึ้นรถตู้ออกเดินทางสักพัก ไม่ไกลจากสนามบิน แวะรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนที่ ร้านอาหารล้านช้าง อยู่ระหว่างทางที่จะไปภูเรือ มองแค่หน้าร้านก็ทำให้เรามั่นใจแน่นอนว่าถึงเมืองเลยแล้ว ด้วยผีตาโขนที่นำมาประดับทั่วร้านหลากหลายสไตล์ อาหารที่ร้านจะเป็นอาหารท้องถิ่นที่ดีต่อสุขภาพ รสไม่จัด กลมกล่อมพอดีๆ

 

หลังจากท้องอิ่มเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ จากจุดนี้ไปภูเรือระยะทางประมาณ 49 กิโลเมตร ใครกลัวจะเมารถขอให้ใช้จังหวะนี้รับประทานยาแก้เมาเตรียมไว้เลย เพราะหนทางค่อนข้างคดเคี้ยวเอาการอยู่ ใครที่เป็นนักฉวยโอกาสก็ใช้ช่วงเวลานี้หลับพักผ่อนเอาแรงไปได้เลย ตื่นมาอีกทีก็จะถึงที่หมายแรก นั่นคือ ศูนย์วิจัยพืชสวนเลย หรือที่คนส่วนมากรู้จักกันในชื่อว่า สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ นั่นเอง

 

ศูนย์วิจัยพืชสวนเลย เป็นแหล่งศึกษาวิจัย และทดลองปลูกไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักผลไม้เมืองหนาว เพื่อนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าทดลองนั้นไปเผยแพร่ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ และนอกจากนี้ก็เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาว และให้นักท่องเที่ยวมาศึกษาเรื่องพืชผลต่างๆ เมืองหนาวอีกด้วย (คลิกอ่าน —> ชิลล์เอ้าท์สูดอากาศดี สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ)

 

หลังจากเที่ยวเล่นถ่ายรูปสวนดอกไม้ ซื้อถั่วมะคาเดเมียมาเคี้ยวเพลินๆ เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อไปยังที่พักที่เราจะค้างแรมกันที่นี่ตลอดทั้งทริป นั่นคือที่ ภูนาคำรีสอร์ท ที่พักสุด ECO ที่สร้างความประทับใจให้เราตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้าไปเลย

 

ภูนาคำรีสอร์ท ได้รับรางวัล Thailand Energy Awards 2014 ในประเภทอาคารสร้างสรรค์เพื่อการอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ภายในโรงแรมเองยังสนับสนุนให้ผู้เข้าพักมีโอกาสได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พึ่งพาตัวเอง และเผื่อแผ่ไปยังชุมชน ผ่านกิจกรรมสนุกๆ ที่มีให้ทำที่นี่ เช่น หัดทำนาปี และนาปรัง ปั่นจักรยานเสือภูเขา ปลูกผักปลอดสารพิษ เก็บเห็ด และอื่นๆ อีกมากมาย (บางกิจกรรมต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า) รับรองไม่มีเบื่อ

 

กล้วยน้ำว้าลูกโตจากสวน มาในตะกร้าพร้อมกุญแจห้อง

 

เก็บข้าวของเข้าห้องแล้ว ได้เวลาไปทานข้าวกันที่ร้าน ฮัก ณ สบายดี ใกล้ๆ รีสอร์ท ออกแนวร้านอาหารสำหรับครอบครัว เน้นอาหารไทยเป็นหลักครับ

 

เดินทางกลับเข้าที่พัก ก็ถึงช่วงเวลาที่ผู้ร่วมทริปทุกคนรอคอย นั่นคือการเข้าร่วมกิจกรรมโสเหล่ (เป็นภาษาอีสาน แปลว่า ล้อมวงสนทนากัน) เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมในที่ที่เราได้ไปเที่ยวกันในวันนี้กับอาจารย์วรภัทร์ ซึ่งเป็นกิจกรรมตามความสมัครใจ ใครที่เหน็ดเหนื่อยอยากจะพักผ่อนก็เข้าที่พักได้เช่นกัน แต่เท่าที่ดูส่วนใหญ่ทุกคนก็เข้าร่วมกันดี เพราะความรู้ที่ได้จากการโสเหล่นั้นเป็นการเปิดโลกให้กับเราได้ดีมาก เรื่องที่เข้าใจยากอาจารย์ก็จะคุยให้เข้าใจได้ง่ายๆ บางครั้งก็คุยเรื่องสัพเพเหระจนลืมง่วงกันไป สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันแรกของทริปจึงเป็นการแนะนำตัวผู้ร่วมทริปกันเสียก่อน ทำให้เรารู้จักเพื่อนร่วมทริปที่มาด้วยกันมากขึ้น สุดท้ายแม้การพูดคุยจะสนุกสนานได้อรรถรสเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความง่วงเสียแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายไปพักผ่อน เอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้

 

——————————————————————————————–

 

วันที่ 2

วันนี้เราจะได้เดินทางไปสักการะ พระธาตุศรีสองรัก ศูนย์รวมจิตใจของชาวผู้คนริมสองฝั่งโขงนั่นเอง แต่หากจะไปมือเปล่าก็ดูจะไม่ใช่การเดินทางในแบบสุขนิยมทัวร์แน่ๆ ดังนั้นเราเลยเดินทางไปยังบ้านเจ้าพ่อกวน เพื่อเรียนรู้การทำต้นผึ้งกันก่อน (ต้นผึ้งเป็นสัญลักษณ์ของการเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สูงสุด) เป็นกิจกรรมที่ได้ใช้ความสมัครสมานสามัคคีของทุกคน (คลิกอ่าน —> ทำต้นผึ้ง ไหว้พระธาตุศรีสองรัก ศูนย์รวมจิตใจผู้คนสองฝั่งโขง)

 

เสร็จแล้วจึงเดินทางไปยังพระธาตุศรีสองรัก สักขีพยานของความร่วมมือกันระหว่างกรุงศีอยุธยา และกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) การขึ้นไปสักการะนั้นมีข้อควรจำหนึ่งอย่างก็คือ ไม่ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดง และบูชาด้วยดอกไม้สีแดงครับ

 

เริ่มต้นวันด้วยการทำบุญไปแล้ว สถานที่ต่อไปเราก็ยังคงไปรับบุญกันต่อ ที่วัดเนรมิตวิปัสสนา วัดที่มีความสวยงามวัดหนึ่งของจังหวัดเลยด้วยการก่อสร้างจากศิลาแลง ห่างจากตัวอำเภอด่านซ้ายไปประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ภายในยังมีเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราชจำลองด้วย

 

เยื้องอุโบสถไปทางด้านหลัง ยังมีมณฑปพระครูภาวนาวิสุทธิญาณ ภายในเป็นที่ตั้งของของหีบบรรจุสังขาร และหุ่นขี้ผึ้งของหลวงพ่อมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งวัดเนรมิตวิปัสสนาแห่งนี้

 

เดินทางออกจากวัด ได้เวลาแวะทานข้าวกลางวันกันพอดี วันนี้เราได้ไปร้านอาหารชื่อดังประจำอำเภอด่านซ้ายด้วย นั่นคือ ร้านส้มตำป้าวัลย์ ร้านอาหารอีสานที่เน้นผักปลอดสารพิษปลูกด้วยตัวเอง แซ่บแบบได้สุขภาพ (คลิกอ่าน —> เที่ยวเลยอย่าเลยผ่าน แวะส้มตำป้าวัลย์ ชิมส้มตำรสแซ่บ)

 

เมื่ออิ่มอร่อยกันถ้วนหน้าแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อไปยังอำเภอนาแห้ว แวะที่ วัดศรีโพธิ์ชัย วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาพร้อมๆ กับชุมชนหมู่บ้านแสงภา หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 400 ปีแล้ว และผู้คนในชุมชนก็ยังคงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ภายในพระอุโบสถยังมีองค์พระประธานหลวงพ่อใหญ่ ปางมารวิชัย ศิลปะแบบล้านช้างอีกด้วย

 

ชมความงามภายในเสร็จ เราก็ออกมาชมการแสดงพื้นเมืองโดยเด็กๆ จากโรงเรียนบ้านแสงภา ซึ่งแม้อากาศจะร้อนแรงสักเพียงไหนก็ไม่ได้ทำให้เด็กๆ ดูย่อท้อเลย อีกสิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้ก็คือความภาคภูมิใจในสิ่งที่เด็กๆ กำลังทำกันอยู่นั่นเอง เป็นการอนุรักษ์ศิลปะแบบโบราณของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

 


หลังจากเราร่ำลาจากเด็กๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เดินทางต่อไปยัง พระธาตุดินแทน ที่อยู่ไม่ไกลจากวัดศรีโพธิ์ชัย เรากล้าบอกเลยว่าเป็นหนึ่งในพระธาตุที่ไม่มีเหมือนที่ไหนๆ ในโลกแน่นอน เพราะองค์พระธาตุนั้นจะสร้างจากการนำดินมากองรวมกันจนสูงเป็นเนินเขา ยิ่งปัจจุบันที่ชาวบ้านก็มาทำบุญกันด้วยการนำดินขึ้นมาเทบนองค์พระธาตุ จึงทำให้พระธาตุมีฐานที่กว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

 

อิ่มบุญกันมาทั้งวัน ก็ได้เวลาไปแวะชิมผลไม้อร่อยๆ สัมผัสกับวิถีเกษตรอย่างยั่งยืนอีกแห่งที่ ไร่ลองเลย แหล่งเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่แบบผสมผสานตามปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ได้คุณอิ๋ม เจ้าของไร่ลองเลยมาเป็นวิทยากรในวันนี้ ซึ่งทำให้เราได้แรงบันดาลใจมากมายเกี่ยวกับการทำเกษตร และการกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง สร้างรายได้ให้กับผู้คนในชุมชน

ผลไม้ทุกอย่างภายในสวนเป็นแบบปลอดสารเคมี แถมยังหวานฉ่ำแบบสุดๆ ด้วย ทั้งสตรอเบอร์รี่ มะเฟือง กระเจี๊ยบ ฯลฯ (คลิกอ่าน —> เที่ยวไร่ลองเลย ออร์แกนิค ไลฟ์ ชิมสตรอเบอร์รี่ ที่ ออร์แกนิค ฟาร์ม)

 

เที่ยวละไมกันมาทั้งวัน แล้วก็ถึงเวลากลับมาพักผ่อนกันที่ภูนาคำรีสอร์ท สำหรับวันนี้พวกเราจะรับประทานอาหารมื้อเย็นกันที่นี่เลย ซึ่งก็ไม่ใช่อาหารโรงแรมธรรมดาทั่วๆ ไปแน่นอน เพราะอาหารทุกจานนั้นใช้พืชผักออแกนิกที่ดีต่อสุขภาพ ให้ผู้เข้าพักทุกคนรับพลังธรรมชาติกันแบบเต็มที่

 

สำหรับกิจกรรมโสเหล่ประจำวันนี้ก็ยังคงมีอยู่เช่นเคย และเนื่องจากวันนี้เราไปเที่ยวกันหลายสถานที่ และผู้ร่วมทริปก็เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้ว วันนี้เราจึงได้ข้อคิดดีๆ จากการเดินทางมากมาย ยกตัวอย่างความรู้อันมีค่าจากการโสเหล่ในวันนี้ ก็เช่นเรื่องของอย่างเช่นการทำต้นผึ้ง ที่จากการมองจากสายตาของเราอาจเห็นว่าเป็นเรื่องชักช้า สู้ถวายเทียนเป็นเล่มๆ ไปเลยก็จบเรื่องแล้ว แท้จริงเป็นการสร้างกลวิธีให้กับผู้คนในชุมชนได้มีโอกาสเข้ามารู้จักกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเดียวกัน นั่นคือพระธาตุศรีสองรักนั่นเอง ทำให้เกิดความรัก ความสามัคคี และความรักในถิ่นที่อยู่ได้อย่างแนบเนียนโดยไม่ต้องมานั่งพร่ำสอนกันให้มากความ

โสเหล่กันได้สักพัก ก็ได้เวลาพักผ่อนกันแล้ว เพราะวันพรุ่งนี้เรามีอีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้องตื่นกันตั้งแต่เช้า นั่นคือการออกไปปั่นจักรยานรับสายลม แสงแดดยามเช้าภายในชุมชนตำบลด่านซ้ายนั่นเองครับ

 

——————————————————————————————–

 

วันที่ 3

 

วันนี้เราออกจากที่พักกันตั้งแต่เช้า ไปยังจุดเริ่มต้นเส้นทางการปั่นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย โดยมีคุณหมอนักปั่นจากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพเมืองด่านซ้าย มาเป็นผู้นำทาง และคอยดูแลเราตลอดเส้นทางการปั่นครับ สำหรับวันนี้ระยะทางการปั่นทั้งหมดประมาณ 10 กิโลเมตรครับ ปั่นแบบสบายๆ ผ่านบ้านเรือน วัด ตลาด ท้องนา ชมวิวสองข้างทางเพลินๆ จนแทบไม่รู้สึกถึงความเหนื่อย

 

 
ปั่นเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก แวะเก็บภาพความประทับใจ สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนด่านซ้ายที่เต็มเปี่ยมด้วยไมตรี ทักทายเราที่ปั่นผ่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ระหว่างทางเรายังได้ผ่านบ้านเลขที่ 1 ซึ่งเป็นบ้านไม้เก่าแก่ของที่นี่ด้วย ไปจนถึงจุดที่เป็นกังหันวิดน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เราอดทึ่งในภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ได้ ใช้หลักการง่ายๆ ด้วยพลังงานน้ำ น้ำที่ถูกตักขึ้นมาก็จะไหลไปตามท่อไม้ไผ่ ไหลลงสู่ท้องนาต่อไป

 

กลับมายังโรงพยาบาลอีกครั้งเราก็แวะกลับไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ภูนาคำรีสอร์ท ซึ่งตอนนี้ทางผู้ร่วมทริปอีกกลุ่มที่ไม่ได้ออกไปปั่นจักรยานก็กำลังเพลิดเพลินกันกับกิจกรรมสุดพิเศษของอาจารย์วรภัทร์ นั่นคือยิงธนู และวาดรูปนั่นเอง เป็นการฝึกสมาธิอีกรูปแบบที่ก็ทำให้นักปั่นอย่างเราแอบเสียดายไม่น้อยเพราะปั่นกลับมาไม่ทัน

 

สำหรับที่หมายแรกของวันนี้ก็คือ วัดโพนชัย ซึ่งเมื่อเช้าหากใครออกมาปั่นจักรยานด้วยก็จะได้ผ่านวัดนี้เหมือนกัน วัดโพนชัยนี้เรียกได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของผีตาโขน สัญลักษณ์ประจำจังหวัดเลย ที่นี่จึงเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ผีตาโขนด้วย เป็นที่เก็บรวบรวม และจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ของที่นี่ครับ

 

แต่จะให้ดูอย่างเดียวก็กระไรอยู่ ดังนั้นจึงมีกิจกรรมระบายสีหน้ากากผีตาโขนขนาดย่อมๆ ให้ได้สร้างสรรค์ผีตาโขนในสไตล์ของเราเอง งานนี้เรียกได้ว่าปลุกความเป็นศิลปินในตัวคุณจริงๆ ทุกคนต่างสะบัดปลายพู่กันชนิดที่ไม่มีใครยอมใครกันเลย

 

ใครที่คิดว่าทำเองไม่สวยถูกใจ จะแวะช็อปปิ้งซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้านขายของที่ระลึกไปฝากคนที่บ้านก็ได้

 

จากวัดโพนชัยเราก็มุ่งหน้าต่อไปยังหมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ ซึ่งอยู่เส้นทางที่จะไปยังเชียงคาน ระหว่างทางแวะที่ ฟอร์ร่าฮิลล์ รีสอร์ท เพื่อแวะรับประทานอาหารกลางวันกันก่อน ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองจังหวัดเลยนัก เพียง 8.7 กิโลเมตร แน่นอนว่าอาหารก็รสแซ่บถูกใจจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเที่ยวที่นี่ต่ออีกสักวันสองวันคงน้ำหนักขึ้นอีกหลายกิโลแน่ๆ

 

กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ออกเดินทางต่ออีกไม่นาน เราก็มาถึง หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ เป็นหมู่บ้านที่มีประชากรเชื้อสาย “ไทดำ” หมู่บ้านเดียวในจังหวัดเลย ซึ่งชาวไทดำนั้นอพยพกันมาจากเมืองเชียงขวาง สปป.ลาว ตั้งแต่ปี 2448 แล้ว และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ชาวไทดำที่นี่ยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมที่งดงามไว้ให้คงอยู่ และที่นี่ศูนย์นี้เราก็จะได้ชมการรำวงพื้นบ้านแบบของชาวไทดำ ที่ชวนสนุกสนานจนอยากเข้าไปร่วมวงด้วยจริงๆ

 

ที่นี่มีของฝากให้เลือกซื้อ เป็นผ้าทอพื้นเมือง และของกินท้องถิ่นต่างๆ ด้วย ใครอยากได้ของฝากแบบออริจินอลแบบไทดำล่ะก็น่าจะถูกใจครับ ลายผ้าสวยๆ ทั้งนั้น นอกจากสินค้าก็มีบ้านที่สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมของชาวไทดำให้เราได้ลองเข้าไปชม ดูข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านไทดำ

 

ทริปเที่ยวสบายๆ Slow Life เลย 3 วัน 2 คืนครั้งนี้ก็จบลงเป็นที่เรียบร้อย แต่นอกเหนือจากการได้พักผ่อนแล้ว เรายังได้สัมผัสกับความงามของวิถีชีวิตผู้คนที่นี่กันแบบไม่ต้องปรุงแต่ง รวมถึงความรู้ที่ได้จากการร่วมวงสนทนากับอาจารย์วรภัทร์ และผู้ร่วมทริปทุกๆ ท่าน ก็ทำให้ทริปเลยครั้งนี้พิเศษกว่าที่เคยจริงๆ ครับ

 

 

ขอบคุณทริปดีๆ จาก สุขนิยมทัวร์

www.sookniyomtour.com, www.facebook.com/sookniyomtour

 

**บทความรีวิวร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และแนะนำวางแผนเที่ยว เป็นบทความที่ทางเว็บขอสงวนลิขสิทธิ์ผลงานการเขียน ห้ามทำซ้ำ หรือคัดลอกเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อในเว็บอื่นๆ และสื่อตีพิมพ์ จนกว่าจะได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทีมงาน

 

 

ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่

 

 

ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com