เดินเล่นมิลาน ชมงานศิลป์แบบโกธิค ที่ Duomo di Milano มหาวิหารสูงเสียดฟ้า ก่อสร้างกว่า 400 ปี
Words and Photo by แมวหง่าว
เมือง Milan หรือที่ชาวอิตาเลียนเรียก Milano นั้นเป็นดั่งเมืองหลวงทางแฟชั่นของประเทศอิตาลี คล้ายๆ กับฝรั่งเศสที่มีเมือง Paris นั่นเอง รวมถึงเป็นศูนย์กลางการค้า ธุรกิจ และท่องเที่ยวด้วย สถานที่ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของ Milan ชนิดที่แขกไปใครมายังไงก็ต้องแวะชมความยิ่งใหญ่อลังการ ก็คือ Duomo di Milano มหาวิหารแห่ง Milan นั่นเอง
Duomo (ดูโอโม ภาษาอังกฤษจะใช้ว่า Cathedral) เป็นสิ่งที่มีอยู่คู่เมืองในประเทศแถบยุโรปเป็นปกติอยู่แล้ว (ผังเมืองร้อยละ 70 ประเทศแถบนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือมีจัตุรัสกลางเมือง ศาลาว่าการ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ) ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจหากว่าคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวแล้วพบว่าตามเมืองสำคัญอื่นๆ ก็มี Duomo อยู่เหมือนกัน สำหรับที่ Milan นี้มีความพิเศษมาก ตรงที่มหาวิหารแห่งนี้มีความใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมหาวิหาร St.Peter ในกรุง Vatigan เท่านั้น
มองจากที่ไกลๆ เรายังสามารถมองเห็นยอดที่สูงที่สุดของมหาวิหารนี้ ซึ่งก็คือรูปสลักพระแม่มาเรียสูง 4 เมตร หุ้มด้วยทองคำงามเป็นประกายทั้งองค์ มีชื่อเรียกว่า Madonnina (มาดอนนิน่า) นอกจากนี้ยังมีรูปแกะสลักนักบุญท่านอื่นๆ ที่สำคัญอีกมากมาย ประดับประดาอยู่ตามยอดอีก 135 ยอด มีการแกะสลักลวดลายอย่างละเอียดสวยงาม ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “มหาวิหารเม่น” นั่นเอง ซึ่งเป็นไปตามสมัยนิยมของสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในยุคนั้น ที่นิยมสร้างโบสถ์ วิหารให้ยอดทรงสูง ปลายแหลมชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นการรำลึกถึงพระเจ้าบนสรวงสวรรค์
*โดยรอบมีทหารคอยเดินตรวจตราอย่างแข็งขัน รวมถึงหน้าทางเข้าที่จะมีการตรวจกระเป๋าอย่างเข้มงวด*
อีกรูปแบบที่พบก็คือกลุ่มคนที่จะเข้ามาขายของแบบยัดใส่มือเรา เช่น ข้าวโพดเลี้ยงนกพิราบ บอกให้เราลองโยนให้นกกิน อีกแบบคือเอาสายข้อมือเข้ามาคล้องให้เราเฉยๆ เลย (เขาบอกเป็นสายข้อมือนำโชค) ทั้งสองแบบนี้จะเหมือนกันคือมาตอนเราเผลอๆ แล้วถ้ารับมาเมื่อไหร่เขาก็จะคิดราคาเราแพงๆ ทันที เจอแบบนี้ให้รีบปฎิเสธอย่างเดียวครับ แต่ไม่ต้องกลัวมากเพราะพวกนี้จะไม่มีการทำร้ายร่างกาย ให้เดินห่างออกมาเป็นพอ
กลับมาที่มหาวิหารกันต่อ ที่นี่เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปีคศ.1386 โดยตระกูล Visconti (วิสคอนติ) ซึ่งเป็นตระกูลที่ปกครอง Milan ในสมัยนั้น แต่ด้วยปัญหามากมายทั้งการเมือง ทั้งเงินทุน มีการปรับเปลี่ยนแบบ และรายละเอียดไปตามผู้คุมงามก่อสร้าง สุดท้ายแล้วเสร็จในปีคศ.1813 รวมแล้วใช้เวลาก่อสร้างถึง 400 ปีเลยทีเดียว
การเข้าชมภายในมหาวิหารจะเสียค่าเข้าชม 2 Euro ครับ ตั๋วนี้เก็บไว้ให้ดีเพราะใช้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ด้านข้างมหาวิหารต่อได้
ใครที่เข้าชมมหาวิหารเสร็จแล้ว ไม่ควรพลาดในส่วนของพิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน เพราะเราจะได้ชมรูปปั้นที่ประดับประดาอยู่ตามกำแพงแบบใกล้ชิด ซึ่งคาดไม่ถึงเลยว่าขนาดจะใหญ่กว่าที่เราคิดมาก ยิ่งทำให้ทึ่งถึงความสามารถของคนในยุคก่อนที่นำรูปสลักขนาดใหญ่ไปติดตั้งบนมหาวิหารได้ ที่สำคัญงานยังปราณีตงดงาม ได้รูปสัดส่วนใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ อีกด้วย
หันหน้าจากออกจากมหาวิหาร มองเยื้องไปทางขวามือจะมีสวรรค์ของนักช็อปแบรนด์เนมอยู่ นั่นคือ Galleria Vittoria Emanuele ภายในจะรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และสินค้าแบนด์ดัง ทั้ง Louis Vuitton, Chanel, Prada (ร้าน Prada ที่นี่เป็นร้านแรกของโลกด้วย),Hermes, Rolex, Coach, Dior, Burberry,Gucci ฯลฯ
เดินจนสุดทางจะออกมาพบกับรูปปั้นของ Michael Angelo (มิเคลันเจโล) ศิลปิน และนักประดิษฐ์ชื่อก้องโลก ที่ยุคนั้นเจ้าผู้ครองเมือง Milan ได้ว่าจ้างให้มาผลิตผลงานอยู่ที่นี่ แทนบ้านเกิดของเขาซึ่งอยู่ที่ Florence (ฟลอเรนซ์)
บริเวณโดยรอบนี้ยังมีอาคารทรงสวยๆ และร้านค้าให้ช้อปปิ้ง ร้านกาแฟให้เลือกชิมอีกมากมาย ใครอยากแวะจิบกาแฟหอมๆ ก็เลือกเข้าได้เลย รับรองอร่อยทุกร้านครับ
ขอขอบคุณ BEC Tero สำหรับทริปดีๆ ครั้งนี้
**บทความรีวิวร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และแนะนำวางแผนเที่ยว เป็นบทความที่ทางเว็บขอสงวนลิขสิทธิ์ผลงานการเขียน ห้ามทำซ้ำ หรือคัดลอกเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อในเว็บอื่นๆ และสื่อตีพิมพ์ จนกว่าจะได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทีมงาน
ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่
ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com